
เทศกาลบุญเดือนสิบ:
เรื่องปากเรื่องท้องของ(ผี)ปู่ย่าตายาย ตอนที่ 2 นอกจากอาหารที่เป็นหัวใจของหมรับแล้ว ยังมีเครื่องเล่นต่างๆ ซึ่งก็จะได้แก่ของพื้นเมืองทางใต้ เช่น รูปตัวสัตว์ต่าง ๆ เช่น ไก่ นก ปลา ช้าง ม้า ที่ทำมาจากไม้หยี กระดาษ หรือใบลาน รวมทั้งตัวละครในหนังตะลุง ตลอดจนกระชอน กระจ่าแม้กระทั่งอาวุธยุทธภัณฑ์ประเภทเบา เช่น ปืนแก๊ปก็ยังมีเลยค่ะ แต่ยังไม่เคยได้ยินใครพิเรนทร์ใส่ระเบิดน้อยหน่าหรือว่าอาร์พีจีหรอกนะคะ เพราะว่าที่นรกคงไม่ต้องใช้อะไรกันขนาดนั้นค่ะ เว้นเสียแต่ว่าอาจจะมีบางคนอยากให้ผีตายายท่านช่วยไประเบิดกระทะทองแดงกับสวนงิ้วไว้ให้ก่อนเท่านั้นเองจากนั้นเมื่อจัดหมรับกันสวยงามและหนักอึ้งแล้วก็จะแห่หมรับไปถวายพระค่ะขบวนแห่นี่แหละค่ะตระการตาเหลือหลาย หมรับบางชุดสูงลิบ ห่มคลุมเอาไว้เสียสวยงามด้วยขนมลาและปักธงทิวน่าดูชมไปเลยค่ะ โดยจะแห่ไปกันในตอนเช้าพร้อมกับภัตตาหารสำหรับถวายพระและข้าวของที่จะใช้ในพิธีชิงเปรตนั้นก็แยกออกมาส่วนหนึ่ง เมื่อไปถึงวัดก็จะถวายหมรับและภัตตาหาร ส่วนของสำหรับชิงเปรตก็จะไปใส่ไว้ใน"หลาเปรต" หรือ ศาลาที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวสำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ ทางวัดก็จะนำสายสิญจน์มาวนรอบ และด้านหนึ่งของสายสิญจน์นั้นพระสงฆ์ท่านก็ถือไว้สำหรับการสวดบังสุกุล เมื่อพิธีกรรมทางสงฆ์เรียบร้อยแล้วทันทีที่พระสงฆ์เก็บสายสิญจน์ ก็จะถึงพิธีที่แสนจะสนุกสนานของเด็กๆ ค่ะ เพราะว่าทุกคนจะกรูกันเข้าไปเพื่อแย่งชิงของบนหลาเปรตนั้นอย่างสนุกสนานซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ชิงเปรต" ค่ะหากพิจารณากันตามแนวทางในการดำรงชีวิตที่แท้จริงแล้ว การทำพิธีชิงเปรตนี้ก็อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของคนโบราณก็ได้นะคะ ที่จะได้มีงานรื่นเริงประจำปีให้คนในท้องถิ่นได้มีความบันเทิงเริงใจในยามค่ำคืนบ้าง ได้แต่งตัวสวยงามอวดกันบ้าง ได้ถวายข้าวปลาอาหารแห้งไว้ให้พระสงฆ์ท่านได้ใช้เก็บไว้เป็นเสบียงในช่วงเข้าพรรษาที่อาจจะลำบากในการออกบิณฑบาต และนอกจากนี้ยังเป็นการแสดงน้ำใจต่อกันในชุมชนด้วยเพราะว่าเวลาทำขนมแต่ละชนิดนั้นแต่ละบ้านก็จะทำจำนวนมากและแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านและญาติมิตรด้วย เป็นการผูกสัมพันธไมตรีต่อกันในชุมชนค่ะ แถมยังจะได้ชื่อว่าเป็นลูกหลานกตัญญูอีกด้วยเพราะเป็นการทำบุญให้ปู่ย่าตายาย เรียกได้ทำบุญครั้งเดียวได้กุศลหลายทางเลยล่ะค่ะช่วงนี้…วัดข้างเรือนเดือนแรมของแม่อบเชยก็ครึกครื้นเป็นพิเศษค่ะ ผู้คนมากหน้าหลายตา มาแหลงภาษาปักษ์ใต้กันให้ลั่นไปหมด เพราะที่วัดดุสิดารามนี้มีงานบุญเดือนสิบของพี่น้องชาวใต้ในกรุงเทพฯ นั่นเองค่ะ ออกร้านในงานวัดกันให้พรึบไปหมด ตกกลางคืนก็มีหนังตะลุงที่หาดูได้ไม่ง่ายนักในบางกอกสมัยนี้มาเล่นให้ดูด้วย สารพัดขนมสำหรับจัดหมรับและพิธีชิงเปรตวางเรียงรายหลากสีสันกันสวยงามไปหมดเลยค่ะ แม่อบเชยเองก็ถือโอกาสไปเยี่ยมๆ มองๆหาอาหารปักษ์ใต้รับประทานเหมือนกัน บางร้านก็อร่อยค่ะ แต่บางร้านก็ แหม…ไม่รักษาหน้าตาของคนปักษ์ใต้ด้วยกันเลย รสชาติไม่แยแสลิ้นผู้ชิมเลยค่ะ คงคิดว่าจะเปิดร้านอยู่ตรงนี้เพียงไม่กี่วัน ลูกค้าจะด่าหรือจะชมก็คงไม่มีผลเกี่ยวเนื่องต่อCRM (Customer Relation Management = หนึ่งในรูปแบบธุรกิจแนวทางใหม่ที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องระหว่างลูกค้ากับผู้จำหน่าย)เลยไม่สนใจจะใส่รสชาติและความตั้งใจลงไปให้อร่อย นับว่าเป็นกรรมของคนที่หลงเข้าไปกินเสียจริงค่ะ ในฐานะของคนรักการกิน อยากจะวิงวอนเหมือนกันนะคะกับพ่อค้าแม่ขายที่จำหน่ายอาหารตามงานออกร้านต่างๆ น่ะค่ะ อย่าทำลายความสุขของนักกินด้วยการทำอาหารแบบส่งๆ ให้เลยนะคะ แม้จะมีหลายเรื่องที่ชวนวิพากษ์ให้ปากแฉะ แต่ก็มีบางเรื่องที่แม่อบเชยอยากยกมาให้ยิ้มกันในความตั้งใจในการมอบความอร่อยให้กับผู้อื่น ยายปริกข้างบ้านแกจะตักบาตรในช่วงวันสารทนี่แหละค่ะ แต่ทีนี้หากจะทอดปลาทูไว้ล่วงหน้าก็เกรงว่าจะไม่หอมอร่อย เลยให้หลานตั้งกะทะทอดหน้าบ้านเลย พอเห็นสีจีวรแวบเข้ามาในคลองสายตา ยายปริกแกก็จะบอกให้หลานรีบนำปลาทูลงไปอุ่นทันทีพอพระท่านมาถึงก็ตักขึ้นมาใส่บาตรได้พอดี พอสายออกมาหน่อย พระท่านก็มาถี่ขึ้นหลานยายปริกอุ่นแทบไม่ทัน ยายปริกกังวลว่าพระบางท่านจะไม่ได้ฉันปลาทูร้อนๆเลยตะโกนบอกหลานเสียงดังลั่นว่า "ซ่าหริ่มเอ๊ย เร็วๆ เข้า เอาลงไปอุ่นมันทีละสี่ห้าองค์ไปเลย โน่นพระท่านมาแล้ว เห็นไหมตั้ง สี่ห้าตัวเรียงๆ กันมาอยู่น่ะ" *แม่อบเชยว่าพระท่านคงสะดุ้งเหมือนกันนะคะ แต่โชคดีค่ะที่ท่านไม่เปลี่ยนเส้นทางบิณฑบาตให้ยายปริกแกรอเก้อ มีอย่างที่ไหน เรียกท่านเสียเด็กวัดสับสนไปเลย มองซ้ายมองขวา นึกว่ามีอะไรตามหลวงพี่มาตั้งสี่ห้าตัว แฮ่ะๆ…ขออโหสิกรรมด้วยนะเจ้าคะ หากว่าเรื่องเล่านี้จะบาปปากแม่อบเชยรับเทศกาลสารทเดือนสิบ ขออย่าให้ปากเท่ารูเข็มเลยนะคะ เพราะว่าแม่อบเชยไม่ได้ชอบขนมลาเพียงอย่างเดียวหรอกค่ะ ยังมีข้าวปลาอาหารที่แม่อบเชยชอบอย่างอื่นอีกที่ขนาดของปากนั้นยังคงสำคัญเหลือหลาย หรือ เรียกว่า Size does matterไงล่ะค่ะ*(หมายเหตุ - ยายปริกแกก็สับสนเหมือนคนทั่วไปที่จำไม่ค่อยได้ว่า ต้องใช้ลักษณะนามว่า "รูป" กับพระสงฆ์ ส่วน "องค์" นั้นจะใช้กับพระพุทธรูปค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น