ละครเวทีเกาหลี...มหาวิทยาลัยมหาสารคาม..

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีดูแบบโบราณ… ได้ลูกสาวหรือลูกชาย


วิธีดูแบบโบราณ… ได้ลูกสาวหรือลูกชาย
บอกเพื่อนด้วย Link:
หมวด: รู้ไว้ใช่ว่า, บทความ, บทความดี, บทความดีๆ, บทความน่าอ่าน, เรื่องน่ารู้
ดูจากการก้าวเท้าของแม่ โบราณบอกว่า ให้คุณแม่ทดลองก้าวเท้าสัก 2-3 ก้าว หากก้าวเท้าขวาจะได้ลูกชาย ก้าวเท้าซ้ายจะได้ลูกสาว
ดูจากฝ่ามือคุณแม่ ถ้าคุณแม่หงายมือมา แสดงว่าลูกเป็นลูกสาว ถ้าคว่ำมือลูกเป็นผู้ชาย ถ้ายื่นมือซ้ายเป็นลูกสาว ถ้ายื่นมือขวาเป็นลูกชาย
ดูจากใบหน้าคุณแม่ ถ้าคุณแม่มีหน้าตาแจ่มใส ไม่มีฝ้าจะได้ลูกชาย แต่ถ้าคุณแม่ดูโทรม มีไฝฝ้าจะได้ลูกสาว
ดูจากความฝันของแม่ ถ้าฝันว่าได้แหวนจะได้ลูกชาย ถ้าฝันว่าได้สร้อย ได้กำไล ตุ้มหู จะได้ลูกสาว
ทายจากเด็กเหยียบท้อง ถ้าไม่เหยียบแปลว่าได้ลูกสาว ถ้าเหยียบแปลว่าได้ลูกชาย
ที่สำคัญอย่าให้คุณแม่รู้ตัว

เกร็ดน่ารู้ วิธีล้างพิษอาหาร ก่อนกิน


เกร็ดน่ารู้ วิธีล้างพิษอาหาร ก่อนกิน
บอกเพื่อนด้วย Link:
หมวด: บทความ, บทความดีๆ, เคล็ดลับ, เรื่องดีๆ, เรื่องน่ารู้, เกร็ดความรู้
ปลอดภัยด้วยสูตรขนมปัง ใช้โซดาทำขนมปัง (โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร (1 กาละมัง) แช่ผัก ทิ้งไว้ 15 ก่อนนำมาปรุงอาหาร
ลดสารพิษฆ่าแมลง 60-84% ใช้น้ำส้มสายชู 0.5% หรือน้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที
ลดสารพิษฆ่าแมลง 54-63% เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที
ลดสารพิษฆ่าแมลง 7-33% ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที
ลดสารพิษ 50% ลวกผักด้วยน้ำร้อน ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50% เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง
เสียปริมาณดีกว่าเสียใจ ผักที่มีกาบใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น กะหล่ำปลี หัวหอมใหญ่ ควรปอกเปลือกหรือลอกใบชั้นนอกออกจะสามารถช่วยลดสารพิษลงได้
ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน ผสมผงปูนคลอรีน 1/2 ช้อนชากับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15-30 นาทีจะฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก
ล้างผักด้วยน้ำยาล้างจาน ใช้น้ำยาล้างจานกับฟองน้ำ (หรือสก็อตไบรต์) ถูเบาๆ ช่วยลดโอกาสติดเชื้อที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้ วิธีนี้ยังเหมาะสำหรับล้างไข่ด้วย
ล้างนอกล้างใน ผลไม้ที่กินทั้งเปลือกได้ เช่น มะเฟือง สตรอเบอร์รี่ ฝรั่ง ควรล้างหลายๆ ครั้ง ใช้แปรงขนอ่อนถูเบาๆ ให้ทั่วแล้วล้างน้ำเกลือหรือน้ำสุก ส่วนผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกก่อนจึงกินได้ เช่น มะม่วง มะละกอ สับปะรด ควรนำมาล้างก่อน จึงค่อยปอกเปลือก เพราะถ้าไม่นำมาล้างก่อน สิ่งสกปรกบนผลไม้จะติดไปกับมือหรือมีดขณะปอกผลไม้ได้ ทำให้เนื้อผลไม้สกปรก
ยาสีฟันสารพัดประโยชน์ องุ่นปกติมักจะมีคราบเหมือนยางเป็นฝ้าขาวๆ ล้างยังไงก็ไม่ออก วิธีล้างให้เด็ดผลองุ่น ออกจากพวงใส่ภาชนะบีบยาสีฟัน (อะไรก็ได้) พอสมควร ขยี้ให้ทั่วมือ ใส่น้ำพอสมควร แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าจนสะเด็ดน้ำ
ก่อนกินอาหารคราวหน้า อย่าลืมล้างสารพิษออกก่อนนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ

เรื่องน่ารู้ เกล้าผมสวยสมโอกาส 3 ลักษณะ


เรื่องน่ารู้ เกล้าผมสวยสมโอกาส 3 ลักษณะ
บอกเพื่อนด้วย Link:
หมวด: ทรงผม, ทรงผมวัยรุ่น, ทรงผมยาว, ทรงผมสวยๆ, ทรงผมแฟชั่น, เรื่องน่ารู้, เกร็ดความรู้, เกล้าผม
สำหรับการเกล้าผมให้เหมาะสมกับโอกาสแบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
เกล้าแบบม้วนต่ำใกล้ท้ายทอย เป็นการเกล้าผมที่เหมาะกับการไปร่วมงานที่เป็นทางการ สุภาพ สำรวม
แบบต่อมาเป็น การเกล้าผมแบบม้วนระดับกลางศีรษะ แสดงออกถึงความทะมัดทะแมง เสริมภาพลักษณะความเป็นเวิร์คกิ้งวูแมน เหมาะกับการเกล้าเพื่อเข้าร่วมประชุม หรือสมัครงาน
สุดท้าย เกล้าแบบม้วนสูง ควรทำผมทรงนี้ในวันว่าง ไม่เป็นทางการ ยามที่ได้รีแลกซ์ เป็นทรงผมที่เหมาะกับวัยรุ่น
นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มความสวยงามให้ทรงผมที่เกล้าม้วนด้วยการติด เครื่องประดับผม โดยเลือกให้เหมาะกับเสื้อผ้าและโอกาส

เรื่องน่าอ่าน วิธี… ขจัดความฟุ่มเฟือย


เรื่องน่าอ่าน วิธี… ขจัดความฟุ่มเฟือย
บอกเพื่อนด้วย Link:
หมวด: รู้ไว้ใช่ว่า, บทความ, บทความดีๆ, บทความสอนใจ, เคล็ดลับ, เรื่องน่ารู้, เกร็ดความรู้
หลีกไกลอารมณ์อยากซื้อ ใน ที่นี้หมายถึงการเดินช้อปปิ้งทุกประเภท เพราะการขายของไม่ว่าให้ห้างสรรพสินค้า หรือตลาดนัดก็ตามล้วนมีการตกแต่งร้าน ทำการตลาดลดราคาให้ดูน่าซื้อหามาเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนจะมีของ Sale ล่อตาล่อใจ ให้สาวๆ ล่องลอยเข้าไปในร้านสู่โลกแห่งความฝัน และคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นคุ้มค่าเพราะราคาถูกกว่าครึ่ง โดยที่ไม่ได้นึกถึงเลยว่าเราไม่ได้ต้องการมันสักนิด หรือไม่มันก็ยังไม่จำเป็น เพราะว่าสาวๆ กำลังติดอยู่ในอารมณ์อยากซื้อนั่นเอง ดังนั้นหนทางแก้อยู่ที่การกลับไปนอนคิดที่บ้านก่อน สักพักอารมณ์อยากตรงนั้นก็จะหายไปเอง
ใช้เวลาช้อปปิ้งมาทำงาน เอา เวลาที่คุณไปช้อปปิ้งทำงานที่ค้างไว้ หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับการงานใหม่ๆ เพราะว่าเวลาที่คุณมีอยู่สามารถสร้างเงินได้แทนการออกไปฟุ่มเฟือย นอกจากนี้ยิ่งทำงานยิ่งเพิ่มเงินเยอะขึ้น ตำแหน่งหน้าที่มีการเติบโต บางทีอาจจะมีโบนัสปลายปีคอยอยู่ หากยังรู้สึกอยากจะดูของอยู่ ให้ใช้วิธีเลือกของเก่าเอามามิกซ์แอนด์แมตช์ ไว้เป็นกิจกรรมคลายเหงาของสาวชอบแต่งตัวแทน
คิดการใหญ่ไม่ฟุ่มเฟือย การ คิดการใหญ่เป็นสิ่งที่ดี เพราะหมายถึงคุณจะต้องมีวินัยในการสะสมเงินให้ได้จำนวนมากพอสมควร เพื่อเก็บไว้ซื้อของที่อยากได้จริงๆ ไม่ใช่ของกระจุกกระจิกราคาถูกที่ใช้ 3 ทีก็เจ๊ง ลองเก็บตังค์ซื้อกระเป๋าหรือรองเท้าแบรนด์เนมดูสิ เพราะของพวกนี้ใช้ทนใช้นาน ดูแล้วคุ้มค่ากว่าการซื้อบ่อยๆ แต่ของไม่มีคุณภาพกว่ากันเยอะ
ไม่พกเงินและบัตรเต็มกระเป๋า วิธี ไม่พกเงินเยอะๆ จะทำให้คุณจำกัดการใช้จ่ายได้อย่างดี รวมทั้งงดใช้เงินอนาคตของบัตรเครดิต แม้ว่าจะมีแต้มสะสมล่อตาล่อใจเท่าไรก็ตาม พกเพียงแค่ 1-2 ใบ ไว้ยามฉุกเฉินก็พอแล้ว
อย่าใช้บัตรแบบผ่อนของหลายใบเกินนะคะ เพราะคุณจะอยู่ในวังวนของความเป็นหนี้ พยายามใช้ให้พอดี แบบที่คุณจะจ่ายได้ ไม่เดือนร้อน

ชายับยั้งอัลไซเมอร์



ชายับยั้งอัลไซเมอร์
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ พบว่า การดื่มชาเขียวหรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน จะสามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของการป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ แต่จะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี หากดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วัน ก็สามารถเห็นผลได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า แม้แพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่การดื่มชาก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ รู้อย่างนี้แล้วลองหันมาดื่มชากันเถอะ แถมยังไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย.ที่มา : เดลินิวส์

เบอริเบอรี่



เบอริเบอรี่
โรคเบอริเบอรี่ (beriberi) ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในเวลานี้ หลายคนคงไม่รู้จัก แต่เมื่อพูดถึงโรคเหน็บชา คงจะคุ้นหูกันดี สาเหตุเกิดจากการขาดวิตามินบี 1 ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเผาผลาญอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน แปรไปเป็นพลังงาน และมีส่วนสำคัญของระบบประสาท โดยเฉพาะในด้านนำกระแสความรู้สึกของเส้นประสาท วิตามินบี 1 เป็นสารที่ละลายน้ำ ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร มีมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อหมูจะมีมากที่สุด แต่ในเนื้อสัตว์ชนิดอื่นก็มีเช่นกัน และยังมีอยู่ในถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วแดง ข้าวกล้อง จมูกข้าว ข้าวมันปู ข้าวเหนียวดำ งาขาว งาดำ เป็นต้น แต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินบี 1 เพื่อไปแปรให้เกิดพลัง โดยร่างกายจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติเมื่อมีภาวะด้านสรีรวิทยา เช่น เด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต หญิงมีครรภ์ หรือให้นมบุตร นักกีฬา หรือผู้ใช้แรงงาน หรือมีภาวะทางพยาธิวิทยา คือ มีโรคติดเชื้อ เจ็บป่วย ภาวะเครียด หรือธัยรอยด์ทำงานหนัก ร่างกายต้องการใช้วิตามินบี 1 ตลอดเวลาเพื่อนำไปสร้างเป็นพลังงาน แต่หากร่างกายทำงานหนักมากติดต่อกันหลายวัน โดยไม่ได้รับวิตามินบี 1 โอกาสที่จะเกิดโรคเบอริเบอรี่ถึงขั้นรุนแรงได้ ในเด็กจะพบบ่อยในทารกอายุ 2-3 เดือนที่ดื่มนมแม่ที่ขาดวิตามินบี 1 เด็กจะมีอาการ เช่น หน้าเขียว หอบเหนื่อย ตัวบวม หัวใจเต้นเร็ว หัวใจโต ร้องเสียงแหบหรือไม่มีเสียง อาจเสียชีวิตได้ภายใน 2-3 ชั่วโมงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หากเกิดในวัยผู้ใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Dry beriberi คือ การชาแบบไม่บวม มักเป็นตามปลายมือ ปลายเท้า กล้ามเนื้อแขนขาไม่มีกำลัง ไม่อันตราย และอีกชนิดคือ Wet beriberi จะมีอาการบวมร่วมกับการชาปลายมือ ปลายเท้า มีน้ำคั่งในช่องท้อง ช่องปอด บางรายจะมีอาการหอบเหนื่อย หัวใจโตและเต้นเร็ว อาจหัวใจวายได้ ที่มีอันตรายและส่งผลต่อหัวใจมากเพราะหัวใจเป็นอวัยะส่วนที่ทำงานตลอดเวลาต้องการพลังงานมากกว่าส่วนอื่น การป้องกันทำได้ง่ายนิดเดียว เพียงทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 หากทานเนื้อสัตว์ไม่ได้ ก็ทานข้าวกล้อง จมูกข้าวแทน หรือทานวิตามินเสริม ซึ่งหลักสำคัญคือ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็เพียงพอแล้ว
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ดับร้อน แก้เครียด ด้วย "กล้วยหอม"



ดับร้อน แก้เครียด ด้วย "กล้วยหอม"
"กล้วย" เป็นผลไม้ที่หากินได้ง้าย..ง่าย ในเมืองไทย ปลูกก็ง่าย ซื้อหาก็ได้ในราคาไม่แพง แถมกินแล้วยังได้ประโยชน์แสนคุ้ม แถมรสชาติยังอร่อยดีเสียอีก "กล้วยหอม" ก็เป็นกล้วยชนิดหนึ่งที่รสชาติดีแถมมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง เพราะในกล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ อีกทั้งยังช่วยแก้อาการไม่อยากจะตื่นในตอนเช้า (Morning Sickness) หากกินกล้วยหอมในระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น ก็จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าวในตอนเช้าได้ และในกล้วยหอมนั้นมีวิตามินบีอยู่มาก จะช่วยลดความเครียด และความอ่อนล้าได้ คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารหรือเป็นแผลในลำไส้ การกินกล้วยหอมเป็นประจำยังทำให้มีการเคลือบผิวภายในกระเพาะอาหารลดการเป็นแผลในกระเพาะได้ และเส้นใยในกล้วยหอมก็จะช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้น ขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย นอกจากนี้กล้วยหอมยังช่วยปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย การกินกล้วยหอมในวันที่อากาศร้อนๆ ก็จะช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงได้บ้าง ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องกินเท่านั้น แต่ยังมีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ว่า ใครที่โดนยุงกัดเป็นตุ่มมา ให้ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด ก็จะสามารถช่วยลดอาการคันหรือบวมได้ด้วย
ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์

"กุยช่าย"



"กุยช่าย"
"กุยช่าย" หรือที่เราชอบเรียกกันว่า "ผักไม้กวาด" นั้น แม้จะมีกลิ่นฉุนเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นดอกไม้กินได้อีกอย่างหนึ่งที่คนเรานิยมนำมาประกอบอาหาร โดยส่วนมากที่เห็นก็จะนำมาผัดน้ำมันหอยใส่เนื้อสัตว์เล็กน้อย เป็นเมนูโปรดอีกอย่างหนึ่ง นอกจากจะเป็นอาหารจานอร่อยแล้ว ดอกกุยช่ายนี้ก็ยังมีประโยชน์ไม่น้อย เพราะสามารถช่วยให้คนที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงง่าย เหนื่อยง่าย คนป่วย คนอายุมาก หรือคนที่มีอาการกามตายด้าน ให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้ เพราะผักกุยช่ายนี้มีแร่ธาตุและสารปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค แต่ถ้ากินเข้าไปครั้งเดียวในปริมาณมากๆ ก็อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะได้ แต่ก็มีวิธีการแก้โดยนำผักกุยช่ายไปปรุงกับตับ หรือกุ้งหรือหมู และยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงน้ำนมในคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ แถมยังมีเบต้าแคโรทีน ที่ร่างการเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยป้องกันมะเร็ง มีธาตุเหล็กที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และมีวิตามินสูง อีกทั้งมีกากใยช่วยในการย่อยอาหาร ลดโอกาส เกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ ถ้ากินดอกกุยช่ายอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายจะแข็งแรง มีกำลังวังชา ร่างกายขับเหงื่อได้ดี ช่วยบำรุงไตได้อีกด้วย
ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์

สารฟอกขาวในตะเกียบ



สารฟอกขาวในตะเกียบ
เวลารับประทานก๋วยเตี๋ยว ใคร ๆ ก็คงต้องใช้ตะเกียบในการรับประทาน แต่ทราบหรือไม่ว่า ในตะเกียบนั้นมีสารฟอกขาวอยู่ด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน... อันตรายจากสารฟอกขาวที่อยู่ในตะเกียบ เป็นชนิดเดียวกับสารฟอกขาวที่ใช้แช่ถั่วงอก โดยสารฟอกขาวจะมีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบ เมื่อโดนน้ำร้อนหรือของที่มีอุณหภูมิสูง สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะเปลี่ยนเป็นสารซัลฟูริค หรือสารชนิดเดียวกับในแบตเตอรี่รถยนต์ สารดังกล่าวจะละลายออกมาจากตะเกียบ ปะปนอยู่ในอาหารที่กินเข้าไป หากผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หรือคนแพ้ง่ายจะมีอาการทันที แต่หากร่างกายแข็งแรงสารเหล่านี้ก็จะสะสม ในร่างกาย ซึ่งการปนเปื้อนของสารจะละลายออก มาเมื่อตะเกียบถูกน้ำร้อนหรือความร้อน เช่น การ กินสุกี้ หรือหม้อไฟต่าง ๆ แต่ถ้านำไปใช้กับอาหาร ที่ไม่ร้อนก็ไม่พบว่าสารฟอกขาวเจือปนออกมา สำหรับอันตรายของสารฟอกขาวที่เข้าไปสะสมในร่างกายจะค่อย ๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำลง และเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าปกติ เพราะเมื่อร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน ถ้าได้รับเชื้อต่าง ๆ จะไม่มีระบบการทำลาย และสิ่งต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายนั้น จะไปสะสมทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ที่จะกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งได้ ดังนั้น หากต้องใช้ตะเกียบชนิดดังกล่าวในการกินของร้อน ๆ สามารถป้องกันได้ด้วยการแช่ในน้ำร้อนประมาณ 3-4 นาที แล้วเทน้ำทิ้งไป จากนั้นจึงนำตะเกียบมาใช้ได้ ส่วนตะเกียบชนิดไม้ไผ่แม้จะไม่มีสารฟอกขาว แต่ต้องทำความสะอาดให้ดีและทำให้แห้งเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา เพราะจะทำให้เกิดสารอัลฟาทอกซิน หรือสารก่อมะเร็งได้ ครั้งหน้าจะใช้ตะเกียบก็อย่าลืมทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนนำมาใช้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ข้อมูลจาก mcot.net

ผักบร็อคโคลี่...รักษาโรคอัลไซเมอร์





ผักบร็อคโคลี่...รักษาโรคอัลไซเมอร์
ข่าว สุขภาพ เผย ผักบร็อกโคลี สามารถรักษา โรคอัลไซเมอร์ ได้ โดยผลงานวิจัยระบุว่า มีผักและผลไม้ 5 ชนิด มีสารประกอบที่ทำหน้าที่เหมือนกับยาที่ใช้รักษา โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ผักบร็อกโคลี และใน ผักบร็อกโคลี มีสารดังกล่าวเยอะที่สุด ใครที่ชอบทานผักบร็อคโคลี่บ้าง รู้หรือไม่ว่าช่วยรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกันผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ระบุว่า มีผักและผลไม้ 5 ชนิด มีสารประกอบที่ทำหน้าที่เหมือนกับยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ ได้คือ บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล และหัวไชเท้าโดยเฉพาะผักบร็อคโคลี่มีสารดังกล่าวเยอะที่สุด รู้อย่างนี้แล้ว...ควรหันมารับประทานผักบร็อคโคลี่แก้โรคอัลไซเมอร์กันดีกว่า
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ยาตีกัน



ยาตีกัน
ยาตีกัน หมายถึงคนที่กินยาหลายอย่างเข้าไปในระยะเวลาเดียวกัน ยาเหล่านั้นจะเข้าไปมีผลต่อกัน ทำให้ฤทธิ์ของยาแต่ละอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งอาจเป็นโทษได้ ในปัจจุบัน ประชาชนไม่น้อยนิยมซื้อยามากินเอง บางทีซื้อยาเป็นชุดมาจากร้านขายยา บางคนนิยมไปหาแพทย์เฉพาะทางให้รักษาอาการแต่ละอย่าง บางทีไปหาหมอรักษาทีเดียวพร้อมกันหลายๆ คน เช่น คนหนึ่งรักษาหัว อีกคนรักษาท้อง เป็นต้น โดยหารู้ไม่ว่ายาที่หมอคนหนึ่งให้อาจไปตีกับยาของหมออีกคนหนึ่ง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันบางชนิด จะต้องกินยา coumadin เพื่อทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง มีผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น และหลอดเลือดหัวใจตีบตันดีขึ้น แต่มียาอยู่กว่า 20 ชนิดที่มีผลให้ยา coumadin มีฤทธิ์แรงขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีเพราะอาจทำให้เลือดไม่แข็งตัว เกิดเลือดออกในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น สมอง หรืออาเจียนเป็นเลือด อาจเป็นอันตรายได้ โดยยาดังกล่าวได้แก่ แอสไพริน ยาแก้อักเสบ phenyl butazone หรือยาปฏิชีวนะอย่าง chloramphenicol บางคนที่กินยา coumadin อยู่แล้วไปกินยาแอสไพริน อีกเม็ดเดียวหรือสองเม็ดก็เกิดเลือดออกเป็นอันตรายได้ ผู้ที่กำลังได้รับยานี้รักษาจึงควรระวังการใช้ยาให้มาก การที่ยาตีกันแต่ไม่รุนแรงอย่างที่ยกมาก็มี เช่น คนที่กินยาพวกเข้าเหล็ก ซึ่งเป็นยาบำรุงเลือด หรือคนที่กินยาพวกที่เป็นเกลือด่าง เพื่อลดกรดในกระเพาะอาหาร จะมีผลทำให้การดูดซึมของยาอื่นๆ จากกระเพาะและลำไส้เสียไป เช่น เมื่อมีการอักเสบ มีเชื้อโรค กินยาพวกปฏิชีวนะก็ดูดซึมไม่ได้ การอักเสบติดเชื้อก็ไม่หาย คนทีกินยาเบาหวาน ถ้าไปกินเหล้าหรือเบียร์ ซึ่งมีแอลกอฮอล์ก็จะเกิดอาการแพ้ได้ และยังมียาอีกหลายอย่างที่ไม่ถูกกับแอลกอฮอล์ เช่น ยาคลายกังวลบางอย่างจะทำให้เมาง่ายขึ้น ถ้าไม่ระวังคิดว่าดื่มแก้วเดียวเคยขับรถได้สบาย หากดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับยาพวกนี้ ก็อาจได้รับอุบัติเหตุเป็นอันตรายได้ จะเห็นได้ว่าการกินยาหลายอย่างพร้อมกันนั้น นอกจากยาจะมีฤทธิ์ต่อคนแล้ว ยายังมีฤทธิ์ต่อยากันเองด้วย ทำให้ผลของยาผิดไปจากปกติ ซึ่งบางอยางอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ต้องระวังให้มาก
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ยากับน้ำผลไม้ อันตรายกว่าที่คิด



ยากับน้ำผลไม้ อันตรายกว่าที่คิด
เวลาที่ไม่สบายเราก็ต้องทานยาเพื่อจะได้หายป่วยไวๆ แต่บางทีถ้าหากว่าเป็นโรคบางโรคแล้วทานยาแล้วเผลอตามด้วยการดื่มน้ำผลไม้เข้า นั่นอาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายซึ่งคงไม่เป็นที่ปรารถนาอยากจะได้มาอย่างแน่นอน คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซานฟรานซิสโก ได้เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งบ่งว่าน้ำผลไม้ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาหมดไป เพราะก่อนที่ยานั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด น้ำผลไม้จะต่อต้านการดูดซึมของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่างๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ผลการวิจัยที่ได้รับการเปิดเผยก่อนหน้านี้ บ่งบอกถึงอันตรายของน้ำผลไม้ในแง่ที่ส่งผลต่อการรับประทานยาเช่นกัน เพราะฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกาย ที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลง ทำให้ตัวยาบางชนิดรวมถึงยาที่ใช้ในการรักษา โรคความดันโลหิตและแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยามากเกินขนาด จะเป็นผลเสียต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วยทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการทานยาพร้อมน้ำผลไม้ทุกชนิด และเลือกรับประทานกับน้ำเปล่าดีที่สุด
ที่มา โดย ผู้จัดการออนไลน์

แนะดื่มชาอย่าใส่นม รักษาคุณค่าต่อหัวใจ


แนะดื่มชาอย่าใส่นม รักษาคุณค่าต่อหัวใจ
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ชาช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และทำให้ เส้นเลือดใหญ่ขยาย อย่างไรก็ดี นักวิจัยจากโรงพยาบาลคาริตของมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เยอรมนี พบว่านมทำให้ประโยชน์ของชาในการปกป้องโรคหัวใจหมดไป ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดทั่วโลกรองจากน้ำ ดังนั้น ประโยชน์ของชาจึงมีความสำคัญในแง่สาธารณสุข กระนั้น จนถึงขณะนี้กลับไม่มีใครรู้ว่า การเติมนมลงไปในชาจะให้ผลอย่างไร ดร.เวเรนา สแตงล์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจของโรงพยาบาลคาริต และทีมนักวิจัยพบว่า โปรตีน casein ในนมทำให้ปริมาณสาร catechin ที่มีฤทธิ์ปกป้องโรคหัวใจลดลง นักวิจัยทีมนี้เชื่อว่า ผลการค้นพบซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสารยูโรเปียน ฮาร์ต เจอร์นัล สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดประเทศอย่างอังกฤษที่ประชาชนนิยมดื่มชาใส่นม จึงไม่มีสถิติว่าการดื่มชาช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ นักวิจัยเปรียบเทียบผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำอุ่น ชาแบบเติมนมและไม่เติมนมกับผู้หญิงสุขภาพดี 16 คน โดยใช้อุลตราซาวด์ดูเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อมือก่อนและหลังดื่มชา 2 ชั่วโมง สิ่งที่พบคือ ชาดำทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการดื่มน้ำอุ่น แต่เมื่อเติมนมลงไป คุณประโยชน์นั้นจะหายไปทันที การทดสอบกับหนูได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน กล่าวคือการกินชาดำ กระตุ้นให้ร่างกายของหนูผลิตสารไนตริกออกไซด์ที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว แต่เมื่อเติมนมลงไปในชา ปรากฏว่าไม่มีปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นที่รู้กันว่าชามีฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง การศึกษานี้จึงอาจมีนัยต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน "การที่นมทำให้กิจกรรมชีวภาพของสารประกอบในชาเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงมีแนวโน้มว่า ผลในการต่อต้านเนื้อร้ายของชาอาจมีปฏิกิริยากับนมเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรศึกษาต่อไปเพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มชากับการต่อต้านมะเร็งว่า การเติมนมส่งผลแบบเดียวกับกรณีนี้ด้วยหรือไม่" ดร.สแตงล์ทิ้งท้ายที่มา :: ผู้จัดการออนไลน์

น้ำชา... กาแฟ ผลเสียผลดีต่อสุขภาพ

น้ำชา... กาแฟ ผลเสียผลดีต่อสุขภาพ
ในทางการแพทย์พบว่า เครื่องดื่มประเภทน้ำชากาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์เพราะสารคาเฟอีน ใน ชา กาแฟมีผลเสพติดอ่อนๆคือดื่มแล้วจะติด พอเวลาไม่ได้ดื่มจะหงุดหงิด มือสั่น ใจสั่น สารคาเฟอีนนี้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ซึ่งนอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมของยาประเภท ลดไข้บรรเทาปวดอีกด้วย ผู้ที่ได้รับคาเฟอีนมากเท่าไร ผลร้ายที่มีต่อร่างกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่นสมอง หัวใจ ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายจะใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมง ในการสลายคาเฟอีน ถ้าร่างกายได้รับ คาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000 - 10,000 มิลลิกรัม จะทำให้ตายในระยะอันสั้นได้ ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2 - 2 1/2 ถ้วย (50 - 200 มิลลิกรัม) ลดความเมื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด 3 - 7 ถ้วย (200 - 500 มิลลิกรัม) ทำให้มือสั่น กระวนกระวายโกรธง่าย และปวดศรีษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้นเป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายต่อผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ คาเฟอีนมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูงกรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีไขมัน ในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตไม่ทำงาน ผู้ที่ดื่มกาแฟ น้ำชา หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ รวมถึงการใช้ยาที่มีคาแฟอีนผสมอยู่รวมถึงการใช้ยาคาเฟอีนจนติดเป็นนิสัย จึงมีระดับคงทนต่อฤทธิ์คาเฟอีนสูงขึ้น โดยที่คาเฟอีนจะมีฤทธิ์ต่อร่างกายน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของประสาทตื่นตัว ปวดศีรษะ และปวดกระเพาะ ความทนทานนี้จะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น การหยุดดื่มกาแฟจะมีผลทำให้ปวดศีรษะ กระวนกระวายโกรธง่าย และไม่สนใจ สิ่งแวดล้อม สำหรับสตรีมีครรภ์นั้นไม่ควรดื่ม ชา กาแฟ โดยเด็ดขาด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคนเราควรได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับประมาณ 2 ถ้วย ( คือ กาแฟ 1 ถ้วย ใส่ผงกาแฟสำเร็จรูป 2 ช้อนชา น้ำประมาณ 1 ถ้วย) เวลาที่เหมาะสมจะดื่มชากาแฟนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน บางคนดื่มตอนเช้าเพื่อให้ลำไส้กระปรี้กระเปร่า ถ่ายสะดวก แต่จะทำให้หิวเร็วกว่าปกติ เพราะกาแฟจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยเพราะฉะนั้นไม่ควรดื่มกาแฟแทนอาหารเช้า และ หันมาดื่มนมแทนจะดีกว่า ถ้าคนที่นอนหลับยาก หรือมีภาระกิจต้องตื่นแต่เช้า ก็ไม่ควรดื่มกาแฟหลังอาหารเย็นวันนั้น จะเห็นว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีผลร้ายกับร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้าม ก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องกำจัด ปริมาณให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

หมอเตือน! หยุดกินยาคุมกลางแผงอันตราย

หมอเตือน! หยุดกินยาคุมกลางแผงอันตราย
สูตินรีแพทย์ศิริราชแนะพบแพทย์ก่อนเริ่มคุมกำเนิดเพื่อรับการตรวจร่างกายและคำแนะนำ ตัดสินใจเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมพบ “ยาเม็ดคุมกำเนิด” ครองแชมป์ยอดนิยมเตือนอย่าหยุดกินยาคุมกลางแผงเหมือนหยุดม้ากลางศึก เสี่ยงมีผลข้างเคียงเลือดออกกะปริบกะปรอย ปวดศีรษะ หญิงอ้วนไม่ควรกินยาคุมให้เลือกใส่ห่วงหรือวิธีอื่น พบวัยรุ่นนิยมแผ่นแปะคุมกำเนิด นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ก่อนที่จะเริ่มคุมกำเนิดครั้งแรกควรพบสูตินรีแพทย์หรือพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้านอนามัยเจริญพันธุ์ เพื่อรับคำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดอย่างเหมาะสม เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ควรได้รับการตรวจร่างกาย ตรวจภายใน ตรวจเลือดว่าเหมาะสมในการเลือกวิธีคุมกำเนิดวิธีใด ซึ่งโดยทั่วไปการคุมกำเนิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบธรรมชาติ เช่น การหลั่งภายนอก การนับวันปลอดภัย แต่วิธีธรรมชาติมีประสิทธิภาพไม่สูงนัก อีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้าช่วย เช่น ยากิน ยาฝัง ใส่ห่วงอนามัย แผ่นแปะผิวหนัง การทำหมัน ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเด่นแตกต่างกัน นพ.มานพชัย กล่าวว่า แม้วิธีคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะเป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายหญิง แต่พบว่าฝ่ายชายมีบทบาทสำคัญในผลสำเร็จของการคุมกำเนิด ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องปรึกษากันก่อนว่ามีลูกพอหรือยัง หรือชะลอการมีลูกเอาไว้ก่อน ถ้าอายุมากมีลูกเพียงพอแล้วเลือกการทำหมันถาวรทั้งชายและหญิงก็ได้ สิ่งสำคัญ คือ ให้เลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ต้องรับประทานยาตรงเวลา ใส่ห่วงอนามัยต้องตรวจเช็กสายห่วงต่อเนื่อง การใช้แผ่นแปะต้องตรงเวลา ดังนั้น ทั้งชายหญิงถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน บทบาทของฝ่ายชายจึงมีส่วนมากในการคุมกำเนิดให้มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง “วิธีที่นิยมที่สุด คือ การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะสะดวกควบคุมตัวเองได้ หากจะเลิกรับประทานก็หยุดได้เอง แต่มีข้อแนะนำคือ ให้เลิกเมื่อหมดแผงแล้ว อย่าหยุดม้ากลางศึก อย่าหยุดกลางแผง อาจมีปัญหาเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ การเลือกยี่ห้อเข้าทำนองลางเนื้อชอบลางยา บ้านเรามียาคุมกำเนิดชนิดเม็ดมากกว่า 70 ยี่ห้อ ในท้องตลาด คุณภาพแตกต่างกัน มีทั้งผลิตในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ข้อสำคัญ ต้องกินยาตรงเวลาถูกต้อง ยาแต่ละเม็ดควบคุมได้แค่ 24 ชั่วโมง ถ้าลืมกินไม่ตรงเวลา คลาดเคลื่อนมีโอกาสตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์มีผลข้างเคียง” นพ.มานพชัย กล่าว สำหรับข้อห้ามในการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด นพ.มานพชัย กล่าวว่า หญิงที่มีน้ำหนักมาก ตั้งแต่ 70-80 กิโลกรัม สูบบุหรี่ อายุมากกว่า 35 ปี ตับอักเสบเรื้อรัง เป็นไวรัสตับอักเสบบีชนิดรุนแรง ไม่แนะนำให้กินยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันภาวะหัวใจขาดเลือด ดังนั้น จึงควรพบแพทย์ก่อนเริ่มต้นรับประทานยาคุมกำเนิด เพื่อดูว่ายายี่ห้อนี้มีปริมาณฮอร์โมนเหมาะสมกับเราหรือไม่ มีข้อห้ามหรือไม่ ถ้ามีข้อห้ามเหล่านี้อาจต้องเลือกวิธีใส่ห่วงอนามัยแทน โดยใส่ห่วงอนามัยใส่ในโพรงมดลูก มีทั้งชนิดห่วงทองแดง ไม่ต้องกลัวฟ้าผ่าเพราะร่างกายเป็นฉนวนป้องกันอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ปวดท้องเวลามีประจำเดือน และเลือดประจำเดือนมากไม่แนะนำให้ใส่ห่วง เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตาม ห่วงอนามัยที่นิยม คือ ห่วงเคลือบฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน สามารถใช้กับหญิงที่มีประจำเดือนมาก อายุเกิน 40 ปี สำหรับแผ่นแปะคุมกำเนิดนั้น 1 แผ่นแปะได้นาน 1 สัปดาห์ ต้องแปะต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ เว้น 1 สัปดาห์ เพื่อให้มีรอบเดือน แปะตรงส่วนไหนของร่างกายก็ได้ยกเว้นที่หัวนม อาจเป็นการกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนมากเกินไป “การคุมกำเนิดแต่ละวิธีมีข้อเด่น ข้อด้อยต่างกัน ช่วง 3 เดือนแรกต้องใจเย็นไม่ว่าจะเลือกวิธีใดจะมีผลกระทบข้างเคียงไม่มากก็น้อยขึ้นกับแต่ละบุคคลบางคนน้ำหนักเพิ่มเล็กน้อย ปวดหัวเล็กน้อย คลื่นไส้อาเจียน หลังจาก 3 เดือนร่างกายจะปรับตัวดีขึ้น ดังนั้น 3 เดือนแรกต้องขยันพบแพทย์จะได้ตรวจภายใน ตรวจมะเร็งปากมดลูก หากพร้อมมีลูกแพทย์จะให้คำปรึกษาหากไม่ต้องการมีลูกแล้วจะได้แนะนำวิธีคุมกำเนิดแบบถาวร” นพ.มานพชัย กล่าว ที่มา :: ผู้จัดการออนไลน์

“แคลเซียม” นั้น สำคัญฉะนี้


“แคลเซียม” นั้น สำคัญฉะนี้
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างและรักษาความแข็งแกร่งของกระดูกในคนเรา รวมไปถึงสร้างความแข็งแรงของฟันและกล้ามเนื้อให้มีสุขภาพดีด้วย คงมีหลายคนสงสัยว่าจะเริ่มรับประทานแคลเซียมให้มากในช่วงวัยใดจึงจะดี
จากข้อมูลพบว่าการรับแคลเซียมตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นนับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก ในการสร้างกระดูกในช่วงถัดไปของชีวิต และยังป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกต่างหาก มวลกระดูกของคนเรานั้นจะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 30 หรือ 35 ปี สำหรับอาหารที่มีแคลเซียมอยู่มากนั้นจะอยู่ในอาหารประเภทนม ชีส โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนมจะเป็นตัวช่วยสร้างมวลกระดูกขึ้นมา นอกจากนี้ในอาหารจำพวกผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดอัลมอนด์ และผลไม้ ก็มีแคลเซียมอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเซลล์ในกระดูกจะถูกทำลายอยู่เสมอและมีการสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ ดังนั้น ร่างกายจึงต้องการแคลเซียมเพื่อมาใช้ในกระบวนการนี้ ถ้าหากร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ จะส่งผลให้กระดูกอ่อนแอได้ แล้วจะรับประทานแคลเซียมในปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ ต่อคำถามนี้ก็ต้องยกคำแนะนำจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ฮาร์วาร์ด ในสหรัฐฯ ที่บอกไว้ว่าควรรับแคลเซียมให้ได้ เฉลี่ยประมาณวันละ 550 มิลลิกรัม แต่ปริมาณที่ว่านั้นก็ยังขึ้นอยู่กับอายุที่ต่างกันไปด้วย ถ้าอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 19-50 ปีควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม แต่ถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรจะให้ได้ปริมาณวันละ 1,200 มิลลิกรัม

ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด


ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด
ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอดคงสงสัยกันสิว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลย ง่ายๆ เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่มแต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอทุเรียนให้ประโยชน์คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิเนื้อสีเหลือง รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสี ย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงนอกจากทุเรียนจะให้คุณอเนกอนันต์
ที่มาจาก : heyhaparty

สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต

สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต


นอกจากความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคเลือดยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย เลือดประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง) และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิงหรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด 3 ชนิด อันได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย เม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุการทำงานที่ชัดเจนคือ เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เม็ดเลือดจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูกจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมด ปริมาณเลือดที่มีในร่างกายเป็นปริมาณที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายต้องการใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนเลือดอีก2-3 แก้วน้ำเป็นปริมาณสำรองเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นการบริจาคเลือดซึ่งนำเลือดออกมาประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำเลือดสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกายเพราะไขกระดูกจะสร้างเลือดขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป ทำให้เกิดประโยชน์โดยทางอ้อมคือ • ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจน ได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่าง มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น • กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น • ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย • ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็ก ที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง เนื่องจากธาตุเหล็กส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยาออกซิเจน จนหลอดเลือดตีบและกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคเลือดจึงช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์ สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาส ที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
ที่มา : นิตยสาร HEALTH & CUISINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 47 ธันวาคม 2547 หน้า 32ภาพ : นสพ.ไทยรัฐ ภาพชุดฉบับประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2547

พริกขี้หนูสด ลดการเสี่ยงโรคหัวใจ

พริกขี้หนูสด ลดการเสี่ยงโรคหัวใจ

โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุของการตายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และหลายประเทศทั่วโลกโดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาการทอด ผัดที่ใช้น้ำมันมากๆ ฯลฯ แต่กินอาหารพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่มีเส้นใยน้อยเกินไป
ทั้งนี้รายงานการวิจัยพบว่าอาหารไทยเป็นอาหารสุขภาพ เพราะให้พลังงานและสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของสมุนไพรต่างๆ ซึ่งมีผลการศึกษาว่าสามารถช่วยลดการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ เช่น การลดไขมันในเลือด ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารไทยที่ช่วยเพิ่มลดชาติร้อนแรง ส่วนประกอบที่สำคัญที่ทำให้เกิดความเผ็ดของพริกก็คือ “ แคปไซซิน ” ซึ่งนอกจากจะให้ความเผ็ดร้อนแล้วยังมีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา ช่วยบรรเทาให้อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ เพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร และที่น่าสนใจคือผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยที่กินพริกเป็นประจำมีอุบัติการณ์เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่าคนในประเทศทางตะวันตก
ด้วยเหตุนี้นางสาวพัชราณี ไชยทา นักศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาโภชนศาสตร์ (ซึ่งเป็นหลักสูตรร่วมระหว่างคณะแพทศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล) ได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง “ ผลของพริกขี้หนูต่อปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด” ภายใต้การดูแลของ ศ.นพ. สุรัตน์ โคมินทร์ หัวหน้าฝ่ายโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์
วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ได้ทำการศึกษาหญิงไทยจำนวน 50 คน ที่มีคุณสมบัติดังนี้คือ ระดับไขมันในเลือดสูง แต่มีสุขภาพโดยทั่วไปดี อายุระหว่าง 45 – 64 ปี และหมดประจำเดือนแล้ว แต่ไม่มีอาการของโรคเรื้อรังใดๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไตโรคกระเพาะอาหาร ไม่ได้รับประทานยาเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดื่มกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวัน และไม่กินพริกมากกว่า 10 กรัมต่อวัน จากการศึกษาหญิงกลุ่มนี้พบว่าระยะการกินพริกขี้หนูมีผลดีต่อปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ การลดระดับน้ำตาลกลูโคส เพิ่มอัตราเผาผลาญของร่างกาย มีแนวโน้มชะลอแรจับกลุ่มของเกล็ดเลือด และเพิ่มการละลายลิ่มเลือดโดยมีผลภายใน 30 นาทีหลังจากาการกินพริกขี้หนูสด
จึงนับว่าคนไทยโชคดีแล้วที่อาหารส่วนใหญ่อุดมไปด้วยพริก...แต่ควรกินแต่พอประมาณโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคกระเพาะลำไส้

10 วิธี การกินอย่างฉลาด

10 วิธี การกินอย่างฉลาด
ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

โภชนบัญญัติ 9 ประการ หนทางสู่สุขภาพดีโดยไม่ต้องมีรายการเสริม


โภชนบัญญัติ 9 ประการ หนทางสู่สุขภาพดีโดยไม่ต้องมีรายการเสริม

ช่วงนี้กระแสอาหารเสริมมาแรงเหลือเกินค่ะ เปิดนิตยสารขึ้นมาสักเล่มก็เห็นโฆษณาอาหารเสริม หันไปเปิดโทรทัศน์ โฆษณาอาหารเสริมก็ชักแถวเรียงกันมาอย่างกับนักกีฬาชักแถวลงสนามเลยค่ะ โดยเฉพาะช่วงนี้ ช่วงที่ใครๆ ก็สนใจเรื่องกีฬาซีเกมส์นี้ด้วยแล้ว รายการกีฬาที่ปรากฏหน้าจอ กับรายการโฆษณาอาหารเสริมก็จะตามกันมาอย่างกับคู่แฝดกันเลยค่ะ เดี๋ยวให้ "โด๊ป" ด้วยอาหารสูตรนั้นสูตรนี้ มีกันสารพัด แม้กระทั่งไข่ดิบเป็นแก้ว ๆ แม่อบเชยเห็นแล้ว รู้สึกทรมานทรกรรมกับการกินเสียจริง แนวความคิดที่ว่า "สุขใดจะหาง่ายเสมอความสุขจากการกินเป็นไม่มี" นั้น แทบสลายหายไปสิ้นเลยค่ะอย่ากระนั้นเลยนะคะ หากเราสภาพแวดล้อมที่ดี รับประทานกันครบหมู่และถูกส่วนดีแล้ว มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในอัตราที่เหมาะสมและรู้จักการผ่อนคลายจิตใจ แล้ว อาหารเสริมก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องเสาะหามากิน ตามกระแสโฆษณาชวนเชื่อ เลยนะคะ โดยเฉพาะอาหารบ้านเรานั้น ได้รับการยอมรับว่าแต่ละสำรับอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่พอเหมาะพอดีกับความต้องการของร่างกายของเราทั้งสิ้น ตัวอย่าง เช่น มื้อใดสักมื้อที่เรารับประทานข้าวกับน้ำพริกกะปิปลาทูทอด ยอดตำลึงลวก ไข่เจียว แล้วตบท้ายด้วยกล้วยน้ำว้า เป็นของหวานเราก็จะพบว่า คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน ครบถ้วนแล้วค่ะ ปู่ย่าตายายของเรา แทบจะไม่เคยให้เรากินน้ำปรุงแต่งสูตรใด ๆ หรืออาหารพิเศษชนิดไหน ๆ เราก็อยู่กันมาได้ อย่างปกติสุข เว้นเสียแต่เมื่อเจ็บป่วยเท่านั้นค่ะท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนรับประทานราวกับเจ็บป่วยเสียทุกวัน ซึ่งผิดหลักโภชนาการมากไปหน่อยค่ะ และยังส่งผลที่ไม่พึงประสงค์มากมาย เช่นมีบางอย่างมากไป บางอย่างน้อยไป และบางคนพลอยมีอาการทางจิตใจตามมาเกรงว่าตนจะรับประทานอะไรไม่พอดี จนต้องมีเครื่องตรวจสอบอาหารทุกคำที่จะตักเข้าปาก วิตกจริตไปกันใหญ่โตค่ะ กองโภชนาการกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็เลยได้กำหนด "ข้อปฏิบัติ การกินอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี ของคนไทย" ขึ้นหรือเรียกง่าย ๆ ว่า "โภชนบัญญัติสำหรับคนไทย"

มี 9 ข้อดังนี้นะคะ

1. กินอาหารครบ 5 หมู่ และแต่ละหมู่ให้หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว

2. กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งชนิดอื่นเป็นบางมื้อไปตามสมควร

3. กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้เป็นประจำ โดยเฉพาะผักสด โดยรับประทานให้ได้ไฟเบอร์ด้วย

4. กินปลา เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้ง ก็ควรรับประทานเป็นประจำ

5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย

6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร มากไปก็ไม่ดี ไม่มีเลยก็จะบกพร่องไปเสีย

7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัด และเค็มจัด หรือเผ็ดจัด

8. กินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน

9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

ยากไหมคะ กับโภชนบัญญัติ 9 ประการเพื่อสุขภาพดีที่นำมา ให้อ่านกันวันนี้ หากเราปฏิบัติตัวให้เป็นปกติ บัญญัติดังกล่าวนี้ก็แสนจะง่ายดายเลยค่ะ ผู้วิจัยได้บอกไว้ว่า หากทำได้ รับรองไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมแต่อย่างใด สุขภาพก็จะดีได้ทันตาเห็นเลยล่ะค่ะ ที่สำคัญยังจะเป็นการช่วยผลักดันให้ให้สังคมไทย มีภาวะโภชนาการดีติดอันดับภูมิภาคกับเขาด้วยนะคะ

เทศกาลบุญเดือนสิบ:


เทศกาลบุญเดือนสิบ:

เรื่องปากเรื่องท้องของ(ผี)ปู่ย่าตายาย ตอนที่ 2 นอกจากอาหารที่เป็นหัวใจของหมรับแล้ว ยังมีเครื่องเล่นต่างๆ ซึ่งก็จะได้แก่ของพื้นเมืองทางใต้ เช่น รูปตัวสัตว์ต่าง ๆ เช่น ไก่ นก ปลา ช้าง ม้า ที่ทำมาจากไม้หยี กระดาษ หรือใบลาน รวมทั้งตัวละครในหนังตะลุง ตลอดจนกระชอน กระจ่าแม้กระทั่งอาวุธยุทธภัณฑ์ประเภทเบา เช่น ปืนแก๊ปก็ยังมีเลยค่ะ แต่ยังไม่เคยได้ยินใครพิเรนทร์ใส่ระเบิดน้อยหน่าหรือว่าอาร์พีจีหรอกนะคะ เพราะว่าที่นรกคงไม่ต้องใช้อะไรกันขนาดนั้นค่ะ เว้นเสียแต่ว่าอาจจะมีบางคนอยากให้ผีตายายท่านช่วยไประเบิดกระทะทองแดงกับสวนงิ้วไว้ให้ก่อนเท่านั้นเองจากนั้นเมื่อจัดหมรับกันสวยงามและหนักอึ้งแล้วก็จะแห่หมรับไปถวายพระค่ะขบวนแห่นี่แหละค่ะตระการตาเหลือหลาย หมรับบางชุดสูงลิบ ห่มคลุมเอาไว้เสียสวยงามด้วยขนมลาและปักธงทิวน่าดูชมไปเลยค่ะ โดยจะแห่ไปกันในตอนเช้าพร้อมกับภัตตาหารสำหรับถวายพระและข้าวของที่จะใช้ในพิธีชิงเปรตนั้นก็แยกออกมาส่วนหนึ่ง เมื่อไปถึงวัดก็จะถวายหมรับและภัตตาหาร ส่วนของสำหรับชิงเปรตก็จะไปใส่ไว้ใน"หลาเปรต" หรือ ศาลาที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวสำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ ทางวัดก็จะนำสายสิญจน์มาวนรอบ และด้านหนึ่งของสายสิญจน์นั้นพระสงฆ์ท่านก็ถือไว้สำหรับการสวดบังสุกุล เมื่อพิธีกรรมทางสงฆ์เรียบร้อยแล้วทันทีที่พระสงฆ์เก็บสายสิญจน์ ก็จะถึงพิธีที่แสนจะสนุกสนานของเด็กๆ ค่ะ เพราะว่าทุกคนจะกรูกันเข้าไปเพื่อแย่งชิงของบนหลาเปรตนั้นอย่างสนุกสนานซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ชิงเปรต" ค่ะหากพิจารณากันตามแนวทางในการดำรงชีวิตที่แท้จริงแล้ว การทำพิธีชิงเปรตนี้ก็อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของคนโบราณก็ได้นะคะ ที่จะได้มีงานรื่นเริงประจำปีให้คนในท้องถิ่นได้มีความบันเทิงเริงใจในยามค่ำคืนบ้าง ได้แต่งตัวสวยงามอวดกันบ้าง ได้ถวายข้าวปลาอาหารแห้งไว้ให้พระสงฆ์ท่านได้ใช้เก็บไว้เป็นเสบียงในช่วงเข้าพรรษาที่อาจจะลำบากในการออกบิณฑบาต และนอกจากนี้ยังเป็นการแสดงน้ำใจต่อกันในชุมชนด้วยเพราะว่าเวลาทำขนมแต่ละชนิดนั้นแต่ละบ้านก็จะทำจำนวนมากและแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านและญาติมิตรด้วย เป็นการผูกสัมพันธไมตรีต่อกันในชุมชนค่ะ แถมยังจะได้ชื่อว่าเป็นลูกหลานกตัญญูอีกด้วยเพราะเป็นการทำบุญให้ปู่ย่าตายาย เรียกได้ทำบุญครั้งเดียวได้กุศลหลายทางเลยล่ะค่ะช่วงนี้…วัดข้างเรือนเดือนแรมของแม่อบเชยก็ครึกครื้นเป็นพิเศษค่ะ ผู้คนมากหน้าหลายตา มาแหลงภาษาปักษ์ใต้กันให้ลั่นไปหมด เพราะที่วัดดุสิดารามนี้มีงานบุญเดือนสิบของพี่น้องชาวใต้ในกรุงเทพฯ นั่นเองค่ะ ออกร้านในงานวัดกันให้พรึบไปหมด ตกกลางคืนก็มีหนังตะลุงที่หาดูได้ไม่ง่ายนักในบางกอกสมัยนี้มาเล่นให้ดูด้วย สารพัดขนมสำหรับจัดหมรับและพิธีชิงเปรตวางเรียงรายหลากสีสันกันสวยงามไปหมดเลยค่ะ แม่อบเชยเองก็ถือโอกาสไปเยี่ยมๆ มองๆหาอาหารปักษ์ใต้รับประทานเหมือนกัน บางร้านก็อร่อยค่ะ แต่บางร้านก็ แหม…ไม่รักษาหน้าตาของคนปักษ์ใต้ด้วยกันเลย รสชาติไม่แยแสลิ้นผู้ชิมเลยค่ะ คงคิดว่าจะเปิดร้านอยู่ตรงนี้เพียงไม่กี่วัน ลูกค้าจะด่าหรือจะชมก็คงไม่มีผลเกี่ยวเนื่องต่อCRM (Customer Relation Management = หนึ่งในรูปแบบธุรกิจแนวทางใหม่ที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องระหว่างลูกค้ากับผู้จำหน่าย)เลยไม่สนใจจะใส่รสชาติและความตั้งใจลงไปให้อร่อย นับว่าเป็นกรรมของคนที่หลงเข้าไปกินเสียจริงค่ะ ในฐานะของคนรักการกิน อยากจะวิงวอนเหมือนกันนะคะกับพ่อค้าแม่ขายที่จำหน่ายอาหารตามงานออกร้านต่างๆ น่ะค่ะ อย่าทำลายความสุขของนักกินด้วยการทำอาหารแบบส่งๆ ให้เลยนะคะ แม้จะมีหลายเรื่องที่ชวนวิพากษ์ให้ปากแฉะ แต่ก็มีบางเรื่องที่แม่อบเชยอยากยกมาให้ยิ้มกันในความตั้งใจในการมอบความอร่อยให้กับผู้อื่น ยายปริกข้างบ้านแกจะตักบาตรในช่วงวันสารทนี่แหละค่ะ แต่ทีนี้หากจะทอดปลาทูไว้ล่วงหน้าก็เกรงว่าจะไม่หอมอร่อย เลยให้หลานตั้งกะทะทอดหน้าบ้านเลย พอเห็นสีจีวรแวบเข้ามาในคลองสายตา ยายปริกแกก็จะบอกให้หลานรีบนำปลาทูลงไปอุ่นทันทีพอพระท่านมาถึงก็ตักขึ้นมาใส่บาตรได้พอดี พอสายออกมาหน่อย พระท่านก็มาถี่ขึ้นหลานยายปริกอุ่นแทบไม่ทัน ยายปริกกังวลว่าพระบางท่านจะไม่ได้ฉันปลาทูร้อนๆเลยตะโกนบอกหลานเสียงดังลั่นว่า "ซ่าหริ่มเอ๊ย เร็วๆ เข้า เอาลงไปอุ่นมันทีละสี่ห้าองค์ไปเลย โน่นพระท่านมาแล้ว เห็นไหมตั้ง สี่ห้าตัวเรียงๆ กันมาอยู่น่ะ" *แม่อบเชยว่าพระท่านคงสะดุ้งเหมือนกันนะคะ แต่โชคดีค่ะที่ท่านไม่เปลี่ยนเส้นทางบิณฑบาตให้ยายปริกแกรอเก้อ มีอย่างที่ไหน เรียกท่านเสียเด็กวัดสับสนไปเลย มองซ้ายมองขวา นึกว่ามีอะไรตามหลวงพี่มาตั้งสี่ห้าตัว แฮ่ะๆ…ขออโหสิกรรมด้วยนะเจ้าคะ หากว่าเรื่องเล่านี้จะบาปปากแม่อบเชยรับเทศกาลสารทเดือนสิบ ขออย่าให้ปากเท่ารูเข็มเลยนะคะ เพราะว่าแม่อบเชยไม่ได้ชอบขนมลาเพียงอย่างเดียวหรอกค่ะ ยังมีข้าวปลาอาหารที่แม่อบเชยชอบอย่างอื่นอีกที่ขนาดของปากนั้นยังคงสำคัญเหลือหลาย หรือ เรียกว่า Size does matterไงล่ะค่ะ*(หมายเหตุ - ยายปริกแกก็สับสนเหมือนคนทั่วไปที่จำไม่ค่อยได้ว่า ต้องใช้ลักษณะนามว่า "รูป" กับพระสงฆ์ ส่วน "องค์" นั้นจะใช้กับพระพุทธรูปค่ะ

เรื่องกล้วย…กล้วย…


เรื่องกล้วย…กล้วย…


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ครูเป้าสุดาเพื่อนของแม่อบเชยมาเล่าให้ฟังว่า เพื่อนครูรุ่นน้องที่โรงเรียนนำนักเรียนเข้าสู่บทเรียนด้วยการถามว่า

“นักเรียนคะ รู้จักกล้วยตากกันไหม? ” คงเดาไม่ได้ใช่ไหมคะ ว่าครูกำลังนำไปสู่การสอนวิชาอะไร ไม่ใช่เรื่องการถนอมอาหารหรอกค่ะ แต่ว่าเรื่อง

“ประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสิน” ค่ะ แม่อบเชยเลยไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเด็กจึงรู้จักว่า “พันท้ายนรสิงห์” ในนามน้ำพริกเผามากกว่าวีรบุรุษ ขึ้นต้นมาก็บ่นแล้วค่ะ ว่าแต่ว่า “คุณผู้อ่านรู้จักกล้วยตากกันใช่ไหมคะ”คงมีหลายคนบอกว่า แหมเรื่องกล้วยๆ แค่นี้ ใครจะไม่รู้จักเล่าวันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องกล้วย ๆ นั่นแหละค่ะ เชื่อไหมคะว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่ซื้อขายระหว่างประเทศกันมากที่สุดในโลก ในละตินอเมริกาเคยได้ชื่อว่า Banana Republics ค่ะเพราะว่าสินค้าหลักคือกล้วยค่ะ อินเดียเป็นประเทศที่ปลูกกล้วยมากที่สุด มีกล้วยกินได้11 สายพันธุ์ แต่บ้านเรานั้น มีกล้วยกินได้ถึง 48สายพันธุ์ค่ะในสมัยที่ซีเรียลยังไม่กำเนิดขึ้นมานั้น นอกจากนมแม่แล้ว ทารกทาริกาทั้งหลายยังได้กินข้าวบดกล้วยกันเกือบทุกคนค่ะ เมื่อโตขึ้นมาก็จะได้รู้จักสารพัดอาหารกล้วยทั้งคาวทั้งหวาน เช่น กล้วยดิบสามารถนำมาทำแกงเขียวหวาน แกงเผ็ด มัสมั่น ต้มข่า ผัดกะเพรา ยำกล้วย ตำกล้วย น้ำพริก หรือเมี่ยงก็อร่อยทั้งนั้นค่ะกล้วยห่ามทอดเคล้าเกลือหรือเคลือบน้ำตาลเป็นกล้วยฉาบ หรือจะนึ่งกินกับมะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้นโรยน้ำตาลทรายก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนกล้วยบวชชีและกล้วยเชื่อมนั้นมีรายละเอียดในการทำแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของกล้วย เช่น กล้วยน้ำว้าใช้น้ำตาลมะพร้าว กล้วยไข่กับกล้วยหักมุกใช้น้ำตาลอ้อยค่ะ นอกจากนี้ยังนิยมทอดเป็นกล้วยแขกและข้าวเม่าทอดอีกด้วยนะคะ สองอย่างหลังนี้ หากินง่ายมากค่ะมีตลาดที่ไหน มีกล้วยแขกที่นั่นค่ะ แต่เท่าที่จำได้ก็คือว่า อาหารชนิดนี้ที่เมืองแขกไม่มีนะนายจ๋า…


ทีนี้หากกล้วยสุกมากๆ แล้ว นอกจากปอกเข้าปากเสียดื้อๆ เราจะเอาไปทำอะไร อื่นได้บ้างไหม เคยเดินผ่านย่านบางลำพูแล้วเห็นคนแก่ๆ เผากล้วยที่งอมจนเหี่ยวดูแล้วไม่น่าจะกินได้ แต่ถ้าลองชิมดูก็จะรู้ว่าอร่อยไปอีกแบบค่ะ หรือไม่อย่างนั้นก็“กล้วยตาก” ไงคะ พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอยู่มากมาย อย่าปล่อยไว้ให้สูญเปล่านำกล้วยไปตากไว้สักแดดสองแดด แล้วนำมาชุบน้ำผึ้งเสียหน่อย อร่อยเหาะและเป็นยาอายุวัฒนะขนานเอกเชียวล่ะค่ะ นอกจากนี้ยังมีข้าวต้มมัดไส้กล้วย มีขนมกล้วยแม่เอ๊ยยย…

ที่หาบขายกันตามถนนหนทางทั่วไปแล้วยังมีกล้วยกวนให้เด็กๆ เคี้ยวกันสนุกไปเลยด้วยนะคะ แต่หากสังขารเหมาะแก่การกินกล้วยงอมเผาแล้วก็ไม่ควรฝืนไปกินกล้วยกวนล่ะเจ้าคะ ปล่อยให้เป็นภาระของเด็ก ๆ เขาเถอะ เดี๋ยวจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งเสียเปล่าๆ ปลี้ๆ ค่ะ ต่อมาเมื่อเรารู้จักการทำขนมอบแบบฝรั่ง ก็มีการนำกล้วยมาเป็นส่วนผสมค่ะ เช่น พายกล้วย เค้กกล้วยหอม แพนเค้กกล้วย กล้วยหอมกับเนยแข็ง ไอศกรีมกับกล้วยหอม Banana Split รวมทั้งกล้วยหอมทอดราดน้ำเชื่อมแบบเวียดนามด้วยนะคะ ส่วนโรตีกล้วยที่ดัดแปลงของแขกมานั้นขอแนะนำว่าให้ไปชิมที่เกาะพีพีนะคะ เพราะแม่ค้าจะเต้นระบำและทำโรตีใส่กล้วยไปได้ในเวลาเดียวกันอย่างเก๋ทีเดียวค่ะมาว่ากันด้วยเรื่องคุณค่าทางอาหารของกล้วยนะคะ ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ เสียแล้วล่ะค่ะ เพราะว่ามีคุณค่าสูงมาก กล้วยน้ำว้าสุกหนึ่งลูกให้พลังงาน 100 แคลอรี มีวิตามินเอ วิตามินซีและยังมีโปรตีนชนิดเดียวกับที่มีในน้ำนมแม่ จึงเป็นอาหารเสริมที่ดีที่สุดของเด็กทารกร่วมกับฟักทองและใบตำลึงต้มสุกบดค่ะ นอกจากนี้ยังย่อยง่ายช่วยในการขับถ่าย เหมาะกับสาวๆ ที่กำลังรักษารูปร่างเพื่อความทันสมัยไปกับแฟชั่นสายเดี่ยว โชว์สะดือเชียวล่ะคะ ค่ำวันหนึ่งในงานอ่านกวี…

ทกวีที่ชื่อ “กล้วยหาย” ของวัฒน์ วรรยางกูรได้ผ่านน้ำเสียงที่นุ่มนวลของนักอ่านสมัครเล่นคนหนึ่ง ทำให้หลายคนอึ้งไป เรื่องนั้นเล่าว่า ผู้ชายคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในซอยต้นกล้วย เป็นคนชอบกินกล้วยมาก เวลากลับมาจากทำงานเขาจะกินกล้วยทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับมาถึงบ้าน กล้วยก็หายไปมองไปเห็นลิงถือหวีกล้วยที่ไม่มีกล้วยแล้วก็เข้าใจว่าลิงขโมยกล้วยจนหมด เลยโมโหเตะลิงไปหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดเขาก็บอกว่า “ ฉันรู้ความจริง ลิงเปล่ากินกล้วยเพื่อนบ้านหลายคน เห็นคนลักกล้วย เป็นคนขุดดิน ไม่ชอบกินกล้วย ลูกเล็กของเขากินข้าวบดกล้วย เขาเป็นคนจน จนไม่มีกล้วย ลูกเล็กหิวนัก เขาจึงลักกล้วย ”หากไปตลาดอีกครั้ง ก็อย่าลืมมองหากล้วยสักหวีนะคะ “หากไทยไม่ช่วยไทยแล้วใครจะช่วยเรา!!!” แม่อบเชยไม่ได้กำลังหาเสียงหรอกค่ะ แต่ว่ากำลังหาแนวร่วมในการกินกล้วยค่ะ เพราะกินคนเดียวทีไร มีผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายส่งอ้อยตามมาให้ทุกทีเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจริงๆ…ปล. คราวหน้าเราค่อยมาว่ากันด้วยตำนานของกล้วยนะคะ….ยังมีอีกยาวค่ะอย่าคิดว่าเรื่องกล้วย เป็นเพียงเรื่องกล้วยๆ เชียวนะคะ


บทความดีๆจาก มีโซซัง....

"ไข่…คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมาย"


"ไข่…คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมาย"


"กินไข่วันละฟอง เราจะต้องร่างกายแข็งแรง กินทั้งไข่ขาวไข่แดงร่างกายแข็งแรงกันทั่วทุกคน" มิตรรักแฟนเพลงหลายคนคงจะนึกใจใช่ไหมคะว่าแม่อบเชยจะพาย้อนอดีตไปร้องเพลงสมัยอนุบาลอีกแล้วใช่ไหมนี่ ว่าแต่ว่าจำกันได้ไหมล่ะคะว่า ตอนเด็กๆ น่ะ เราได้รับคำบอกเล่าว่า ให้รับประทานไข่วันละฟองเพื่อให้ร่างกายที่กำลังเติบโตนั้นได้รับโปรตีนอย่างเต็มที่ แต่พอมาถึงวัยหนึ่งไข่ก็ถูกผักไสไล่ส่งออกไปจากวงจรการกินของเรา เพราะมีบางกระแสบอกมาว่ามีคอเรสเตอรอลสูงและเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจตามมานั่นเองค่ะความเชื่อเรื่องไข่ ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เมื่อ ดร.โดนัลด์ แม็คคามาราผู้อำนวยการศูนย์โภชนาการไข่ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกาได้ออกมายืนยันว่าการกินไข่วันละฟองนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง เพราะจากการศึกษาพฤติกรรม การบริโภคไข่ของผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งแสนคนพบว่า คนที่กินไข่เกินวันละฟองไม่ได้มีความเสี่ยงมากไปกว่าคนที่กินไข่สัปดาห์ละไม่เกินหนึ่งฟองเลยค่ะดร.แม็คคามารา ยังบอกเพิ่มเติมอีกด้วยนะคะว่า การที่คนตะวันตกรับประทาน อาหารที่มีไข่แล้ว ระดับคอเรสเตอรอลสูงขึ้นมานั้นก็เพราะว่า เวลารับประทานอาหารแบบตะวันตกนั้น นอกจากเนื้อ ผัก ขนมปัง เนย และนมทั้งหลายแล้วยังมีไข่ไปพ่วงด้วยอยู่บ่อยๆ ดังนั้นพอเกิดเรื่องขึ้นมาก็โบ้ยความผิดไปให้ไข่ ช่างน่าเห็นใจเสียจริงๆ ค่ะ เพราะว่าตัวการที่แท้จริงคือไขมันอิ่มตัวที่พบในเนื้อแดงและนมเนยนั่นต่างหากค่ะแหม…ได้ฟังชื่อศูนย์โภชนาการไข่ แล้วก็นึกถึงเว็บไซต์http://www.watermelon.org/ นะคะ (ในเรื่อง โตแมง แตงโม ไงคะ) เมืองฝรั่งนี่เขาก็ช่างคิดกันเหลือเกิน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่ไหน เขาก็ยกมาให้ความสำคัญกันถ้วนหน้าทุ่มทุนวิจัยไปทีละอย่างเช่นนี้ มีหรือจะไม่ประสบความสำเร็จ หากบ้านเราตระหนักในความสำคัญ ๆ กันอย่างนั้นบ้าง แม่อบเชยว่า เราอาจจะมีศูนย์โภชนาการกะปิและปลาร้าแห่งประเทศไทยขึ้นมาก็ได้นะคะ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เจ้าฟ้าผู้เป็นที่รักของไพร่ฟ้าโดยเฉพาะไพร่ฟ้าที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจนั้น ก็โปรดอาหารรายการไข่เป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากเพลง "เมนูไข่ อร่อยแท้อยากกิน" ที่ทรงพระราชนิพนธ์ถวายสมเด็จพระพี่นางเธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ในวันคล้ายวันประสูตร และเป็นที่ประทับใจ ของคนฟังเป็นอย่างยิ่งค่ะแล้ววันหลังแม่อบเชยจะอัญเชิญมายั่วน้ำลายคุณผู้อ่านก็แล้วกันค่ะ พอรู้มาอย่างนี้ก็เปรมปรีดิ์แม่อบเชยเหลือเกิน ที่จะหาเหตุผลในการทำอาหารรายการไข่ให้คนที่บ้านรับประทาน ด้วยเหตุผลที่หนักแน่นอย่างยิ่งว่าไข่นั้นรับประทานวันละฟอง กำลังดี แต่เหตุผลที่แท้จริงก็คือ เพราะอาหารไข่เป็นรายการเดียวที่แม่อบเชย ถนัดที่สุดแล้ว วันเกิดที่ผ่านมายังตักบาตรด้วยไข่ต้ม พร้อมอธิษฐานว่า "หากท่านเบื่อไข่ต้มที่แม่อบเชยตักบาตรมาทุกปีแล้ว ก็ขอพรด้วยเถิดว่าเกิดชาติหน้าฉันใดขอให้ลูกทำกับข้าวได้มากกว่าไข่ต้มด้วยนะเจ้าข้า "

ภาชนะ เมลามีน ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย


ภาชนะ เมลามีน ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
ช่วงนี้กระแสข่าวเรื่อง "เมลามีน" มาแรงเหลือเกิน กลายเป็นความหวาดวิตกในใจ ของเราชาวประชา ว่าอาหารที่ทานๆ กันมาเป็นแรมปี จะมีเมลามีน เป็นของแถมให้อยู่หรือเปล่า ซ้ำหนักยิ่งถ้าเกิดไปปนเปื้อนอยู่ในนม ที่ชงให้ลูกทานอยู่ทุกวี่วัน หัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่คงสลาย แต่ที่แม่สาลิกา จะหยิบยกมา คุยกันในวันนี้ ไม่ใช่ประเด็นเรื่องเมลามีน ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารหรอกนะคะ แต่เป็นเมลามีน ที่เราหยิบใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็ ภาชนะเมลามีน ไงละคะ ลองไปพินิจพิจารณาดูให้ดี ทั้ง จาน ชาม ทัพพีตักข้าว ถ้วยขนม ถ้วยกาแฟ เมลามีนทั้งนั้น ที่ภาชนะเมลามีนเป็นที่นิยมก็คงเป็นเพราะ ความที่มันมีน้ำหนักเบา (เบากว่าภาชนะแก้ว ภาชนะกระเบื้อง ภาชนะสแตนเลส แน่ๆ) นอกจากนั้นยังทนทาน แตกหักเสียหายยาก ลวดลายสวยงาม ราคาพอประมาณ


มีคำถามว่า ภาชนะเมลามีน ทำมาจากวัสดุอะไร คำตอบก็คือ ภาชนะเมลามีน ทำมาจาก อมิโนเรซิน ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ของเมลามีน กับฟอร์มาลดีไฮด์ เฮ้อ.. ชื่อเรียกยากยัง ไม่เก่งเคมีซะด้วย แต่เอาเถอะค่ะ จะมีชื่อเรียงเสียงอะไรก็แล้วแต่ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ หากเราเอาไปใช้อย่าง ไม่ถูกต้อง เราจะได้รับอันตรายจากสารฟอร์มาลดีไฮด์ ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจค่ะ (น่ากลัวจัง)


อ้าว แล้วทำไมบนฉลากของภาชนะเมลามีนส่วนใหญ่ มักบอกว่า ทนความร้อนได้มากกว่า 100 องศาเซลเซียส เฮ้อ.. แล้วคุณรู้มั๊ยคะ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แนะนำให้ว่า "เราควรใช้งานภาชนะเมลามีน ที่อุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส" ค่ะ ถ้าจะใช้งานที่อุณหภูมิ ระหว่าง 30-100 องศาเซลเซียส เราไม่ควรคงอุณหภูมิสูงไว้นาน (อย่างนี้ก็เท่ากับว่า เอาชามเมลามีน มาใส่แกงร้อนๆ ก็ยังอันตรายเลยล่ะสิเนี่ย)
ยิ่งถ้าเอาไปใส่อาหารอุ่นใน ไมโครเวฟ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พูดแล้วหวาดเสียวค่า เพราะมีข้อมูลชี้แจงว่า หากอุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟเกิน 2 นาที ที่ระดับกำลังไฟ 900 วัตต์ อาจทำให้สารฟอร์มาลดีไฮด์ แพร่กระจายออกมาได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการใช้ภาชนะเมลามีน ตามความคิดของแม่สาลิกา เราน่าจะมีแนวทางในการใช้งานดังนี้นะคะ


ไม่ควรใช้ภาชนะเมลามีน เพื่อการต้มน้ำ หรืออุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟ (หาชามแก้ว หรือชามกระเบื้อง มาใช้เพื่อการอุ่นอาหารเถอะค่ะ) ในกรณีที่จะใส่อาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ ควรวางอาหารพักไว้ก่อนประมาณ 2 นาที จึงนำมาใส่ในภาชนะเมลามีน หรือถ้าทำได้ก็เอาไว้ใส่ของเย็นหรือของที่ไม่ร้อนแล้ว น่าจะดีกว่านะคะ เพื่อชีวิตคนไทย ห่างไกลมะเร็

หุ่นสวย สุขภาพดี ด้วยการกิน



หุ่นสวย สุขภาพดี ด้วยการกิน
เพื่อนๆ เคยสงสัยบ้างมั๊ยว่า ทำไมพดี คนเราตอนเกิดมา น้ำหนักไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ อย่างมากก็ไม่เกิน 1 กิโลกรัม แต่พอโตขึ้นบางคนหนักแค่ 40 กิโลกรัม แต่บางคนกลับหนักตั้งเกือบร้อยกิโล เรื่องของเรื่องก็มาจากสิ่งที่ เรารับประทานเข้าไปนั่นแหละ ถ้ากินดีกินพอเหมาะ ก็รูปร่างดีสมส่วน ถ้ารับประทานอะไรก็ตามใจปาก แถมยังไม่รู้จักเลือก กินของดีๆ ก็อ้วนพีนะสิจะบอกให้ อย่างที่คำฝรั่งเค้าว่ากันไว้ว่า You are what you eat. ไง

รสชาติของอาหารที่ชื่นชอบ ก็มีผลต่อสุขภาพด้วย เช่น ถ้าชอบทานอาหารที่รสหวานจัด ก็มีโอกาสเกิดโรคเบาหวาน ทานอาหารมันมากๆ ก็เกิดไขมันในเส้นเลือดสูง อาจได้ของแถมโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีก ชอบกินเค็มจัด โรคไตก็อาจจะถามหา กินเผ็ด และเปรี้ยวจัด ก็เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผลได้ กินมากเกินไปก็หนีไม้พ้นโรคอ้วน แต่ถ้าอดมากเกินไปก็เกิดภาวะขาดสารอาหาร ร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เฮ้อ.. แล้วจะต้องทำยังไงดีล่ะ ถึงจะมีหุ่นสวยๆ แล้วก็สุขภาพดีด้วย

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจ เรื่องความหิวและความอิ่มกันซะหน่อย เพราะความหิวและความอิ่ม นี่แหละเป็นตัวกำหนดปริมาณการกินของเรา ปัจจัยที่ทำให้คนเราเกิดความหิว ก็คือ ระดับน้ำตาลต่ำ อารมณ์ ความอยากอาหาร ความชอบในอาหารชนิดนั้น ๆ เป็นพิเศษ เป็นต้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้คนเราอิ่ม คือ การที่ฮอร์โมน gastrin หลั่งออกมาจากการขยายของกระเพาะอาหาร และเจ้าฮอร์โมนตัวนี้ก็ ส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อให้รับรู้ว่า ได้อาหารเพียงพอแล้ว ดังนั้นเราควรใช้เวลาในการกินให้นาน เพราะกว่าสมองจะรับรู้ว่าอิ่ม ต้องใช้เวลาถึง 20 นาที และเมื่อรู้สึกว่าอิ่มก็ควรหยุดกินทันที ความอิ่มไม่ได้ถูกกำหนดโดยปริมาณแคลอรีของอาหาร แต่ถูกกำหนดด้วยปริมาณอาหาร ที่อยู่ในกระเพาะค่ะ และระยะเวลาการกินนั้นเอง ดังนั้น เราสามารถกินอาหารในปริมาณมาก (แบบพอดี) แต่ไม่อ้วนได้ โดยต้องฉลาดที่จะเลือกชนิดของอาหารที่จะใส่เข้าไปในกระเพาะของเรานั่นเอง

สมุนไพรไทย เคล็ดลับความอร่อยของอาหารไทย (ตอนที่ 1)



สมุนไพรไทย เคล็ดลับความอร่อยของอาหารไทย (ตอนที่ 1)
ผัดกระเพรา ต้มยำ ต้มข่า ผัดขิง พูดถึงชื่อเมนูอาหารไทยนี้ขึ้นมา ถ้าใครไม่รู้จักก็อาจจะสงสัยว่า คุณเป็นคนไทยรึเปล่า! เพราะเป็นเมนูอาหารบ้าน ๆ ที่เรา ๆ ท่าน ๆ รับประทานกันอยู่ออกจะบ่อย แต่ไม่ได้หมายความว่า นกจะนิยม หรือโปรดปรานเมนูเหล่านี้ เป็นพิเศษหรอกนะคะ เพียงแค่วันนี้ อยากคุยกันถึง เรื่องพืชสมุนไพรที่เข้ามาป้วนเปี้ยน วนเวียน อยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย เช่นเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แถมอยู่ในอาหารที่เราตักใส่ปาก รับประทานลงท้อง กันเป็นประจำ แต่อาจไม่เคยสังเกตุสังกา ว่า อุ้ย ฉันทานพืชสมุนไพรอยู่รึนี่ เพราะจะว่าไปถ้าพูดถึงคำว่า "สมุนไพร" หลาย ๆ คนอาจนึกถึงแต่ยาต้มหม้อใหญ่ หรือไม่ก็ยาเม็ด ยาลูกกลอน ที่หลาย ๆ สำนักผลิตกันออกมาจำหน่ายอยู่ดาษดื่น
ลองมานั่งทบทวนดี ๆ มีพืชหลายชนิด ที่คนไทย เราใช้ใน การปรุงอาหารรับประทาน ที่มีคุณสมบัติ สรรพคุณทางยา จัดอยู่ในกลุ่ม พืชสมุนไพร ซึ่งพืชเหล่านี้ นอกจากจะเป็นผู้สร้างเอกลักษณ์ ของกลิ่น และรสชาติอาหารไทย จนชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลทั่วโลกแล้ว ยังอุดมไปด้วย คุณประโยชน์มากมาย ต่อสุขภาพของผู้ที่ได้รับประทาน

พูดถึงสมุนไพร คงอดไม่ได้ที่จะพาดพิง ไปถึงเครื่องเทศ เพราะหลาย ๆ คนอาจสับสนปนเป ระหว่างเครื่องเทศกับสมุนไพร เอ...แล้วมันเหมือน หรือแตกต่างกันยังไง เพราะทั้งสอง ก็ล้วนผสมกันอยู่ในเ เครื่องปรุงอาหารไทย ถ้าจะว่ากันแบบภาษาชาวบ้าน เครื่องเทศก็คือส่วนต่าง ๆ ของพืชซึ่งถูกทำให้แห้ง และใช้ในการทำอาหาร อย่างเช่น พริกไทย, อบเชย, กระวาน ซึ่งเครื่องเทศส่วนมาก มักจะมาจากพืชเขตร้อน ซึ่งมีกลิ่นฉุนและรสเผ็ดร้อน

ส่วนสมุนไพร ในแง่ของสมุนไพรเพื่อการปรุงอาหารนั้น หมายถึงพืชสด ซึ่งพบในเขตร้อน ซึ่งอาจจะเป็นส่วนใบ ลำต้น ผล ราก หรือเหง้า ที่ส่วนใหญ่ใช้เพื่อปรุงแต่งกลิ่น และรสของอาหาร โดยมากสมุนไพร ไม่ได้ใช้เพื่อ เป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งข้อนี้เองคือ จุดที่แยกสมุนไพรออกจากผัก แต่อย่างไรก็ตาม สมุนไพรต้องมีสรรพคุณทางยา อาจเป็นสรรพคุณ จากตำรายาพื้นบ้าน หรือจากการวิจัยสมัยใหม่ก็ได้ แต่ที่เราเอามาเล่าขาน กันวันนี้ คือเรื่องของ สมุนไพรในอาหารนะคะ
สมุนไพรไทย เคล็ดลับของอาหารไทย ชื่อเสียงของอาหารไทย เกรียงไกรไปทั่วโลก ด้วยความเป็น ที่ยอมรับว่าเป็นอาหารสุขภาพ ที่มีรสชาติอร่อยอย่าง มีเอกลักษณ์ ด้วยการผสมผสานของ 5 รสชาติ อันได้แก่ เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม และขม ซึ่งถ้าพินิจพิเคราะห์ให้ดี จะเห็นว่านอกจากรสเค็มแล้ว อีกสี่รสชาติ ที่เหลือล้วนแล้วแต่มาจากสมุนไพรทั้งสิ้น รสเปรี้ยว จากมะขาม มะกรูด และมะนาว รสหวาน จากหอมแดง รสเผ็ด แน่นอนจากพริก ขิง หรือว่าข่า รสขมจากมะระ เป็นต้น

อาหาร กินอย่างไร ให้อายุยืน...


อาหาร กินอย่างไร ให้อายุยืน...
"ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น ๆ ปี" ถ้อยคำคุ้นหู เวลาดูหนังจีน ในราชสำนักโบราณ สะท้อนให้ชวนคิดว่า คนจีนโบราณ น่าจะให้ความสำคัญ กับการมีอายุยืน และการบำรุงรักษาสุขภาพให้มีอายุยืนยาว ถ้าจะว่าไป เชื่อมั้ยคะว่า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อายุขัยของคนเรา น่าจะยืนยาวถึง 120 ปี แต่เท่าที่เห็น ๆ อายุถึง 100 ปีก็เก่งมาก ๆ แล้ว ส่วนตัวคนเขียนเองยังสงสัยว่าจะอายุยืนถึง 60 ปีรึเปล่า และก็ไม่เคยคาดหวังว่า อยากจะมีอายุยืนถึง 100 ปีหรอกค่ะ แต่อยากอยู่แบบสุขภาพแข็งแรงมากกว่า เคยอ่านบทความ ของแพทย์หญิงพักตร์พิโล ทวีสิน เขียนไว้ในหนังสือสกุลไทย (เกี่ยวกับเรื่องวิธีกิน ให้อายุยืน) เห็นว่าน่าสนใจ วันนี้เลยขอเก็บมาเล่าสู่กันฟังค่ะ


ท่านบอกว่าหลักสำคัญที่จะกินให้มีอายุยืนก็คือ ให้ทานอาหาร เพียงแต่วันละน้อย ๆ โดยทั่วไปพบว่า คนที่มีอายุยืนยาวเกิน 100 ปี มักทานอาหาร ให้ได้พลังงานเพียงแค่วันละ 1400 - 1500 แคลอรี่เท่านั้น โดยในอาหาร 1 จาน ครึ่งหนึ่งควรเป็นผักผลไม้ ยิ่งสดยิ่งดี ไม่ต้องผ่านความร้อน ไม่ต้องต้มสุก (ขอแถมนิดนึงว่า ต้องล้างสะอาด ปราศจากยาฆ่าแมลงด้วยนะคะ) อีก 1 ใน 4 เป็นเนื้อสัตว์ (ไม่ติดมัน) เพื่อให้ได้โปรตีนไปเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อีก 1 ใน 4 ค่อยเป็นอาหารประเภทแป้ง คาร์โบไฮเดรต เพื่อให้ได้พลังงาน แต่ให้เลือกสภาพใกล้เคียงธรรมชาติให้มากที่สุด ประเภท ข้างกล้อง เผือกต้ม มันต้ม ย่อมดีกว่า ข้าวขัดขาว สปาเกตตี้ ก๋วยเตี๋ยว ที่แปลงรูปซะจนไม่รู้ต้นกำเนิดแล้ว (หลับตานึกภาพหน้าตา ปริมาณ และสัดส่วนอาหารที่ทานมื้อล่าสุด แล้วถอนหายใจ เฮ้อ... ใครที่ทานได้แบบอาจารย์ท่านว่า ก็ดีใจด้วยค่ะ)


วิธีการกินก็สำคัญค่ะ อาจารย์ท่าสให้ยึดหลักว่า "ตอนเช้ากินแบบพระราชา กลางวันกินแบบชาวบ้านทั่วไป ตกเย็นให้กินแบบยาจก "หมายความว่า ทานมื้อเช้าให้หนักเต็มที่ เพราะร่างกายเรา อดอาหารมาหลายชั่วโมงในช่วงนอนหลับ นับตั้งแต่อาหารมื้อเย็น เราอาจจะไม่ได้กินอะไรอีกเลย ท้องว่างไปเกือบ 12 ชั่วโมง มื้อเช้าควรเติมพลังงาน ให้เติมเหมือนเติมน้ำมันให้เต็มถัง จะได้ขับเคลื่อน ต่อสู้กับความเครีด และทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงไปตลอดทั้งวัน ส่วนมื้อกลางวันก็เพียงแค่เติมพลังงานย่อย ๆ แต่พอประมาณ รับประทานเหมือนคนปกติ ไม่ต้องมากมายอะไร มื้อเย็น อาจจะทานบ้างไม่ทานบ้างก็ได้ และไม่ควรรับประทานอาหารเสร็จ ก็ไปเข้านอนเลย เพราะเลือดส่วนใหญ่ยังไปเลี้ยงอยู่ที่กระเพาะอาหาร และทางเดินอาหาร เพื่อทำการย่อยดูดซึมอาหาร จึงทำให้เลือด ไม่ไหลเวียนไปสู่สมอง การนอนหลับจึงไม่เต็มอิ่ม หลับไม่สนิท ในขณะเดียวกัน เวลาที่เราหลับลึก ๆ นั้น ร่างกายกำลังซ่อมแซมตัวเอง เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน สร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่า หากช่วงที่เรานอนเลือดกลับไปอยู่ที่ท้องแล้ว ร่างกายเราจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างไร เซลล์มันย่อมสึกหรอ ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ดังนั้น ควรรับประทานอาหารมื้อเย็นเบา ๆ และทานให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนเวลาเข้านอนสัก 3-4 ชั่วโมง จะได้ไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ
แบบว่าอาจารย์ขา คือตอนนี้รู้สึกว่าวิธีการกินของเราส่วนมากมันจะตีลังกา กับที่อาจารย์บอกมาอยู่น่ะค่ะ คือว่าตอนเช้าเวลารีบเร่ง มีอะไรก็หยอดใส่ท้องไปก่อน นมกล่อง กาแฟแก้ว กับขนมปัง (แบบยาจก) กลางวันพอจะมีเวลาขึ้นมาหน่อย ก็ทานแบบชาวบ้านๆ ค่ะ อาหารจานเดียว ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ตกเย็นหิวโซ โจ้กันเต็มที่ มีอะไรก็ยกมาเลยน้อง (แบบพระราชา) หนักกว่านั้น บางครั้งต่อมื้อดึกก่อนนอนอีกต่างหาก ... ใครเป็นแบบที่ว่าก็ลองหันมาพิจารณา ปรับสูตรการรับประทานอาหารกันใหม่ อายุอาจจะไม่ยืนถึงหมื่นปี แต่ก็จะได้อยู่แบบสุขภาพดี กันถ้วนหน้านะคะ


ดื่มนมสดธรรมดาดีกว่านมไฮแคลเซียม


ดื่มนมสดธรรมดาดีกว่านมไฮแคลเซียม

ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงมากกว่า แถมลดค่าใช้จ่ายลง ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย และประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวว่า แม้ว่านมจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย และเป็นแหล่งแคลเซียมซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง แต่นมไฮแคลเซียม(Hi Calcium) กลับไม่มีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างกระดูกให้มากขึ้นกว่านมสดธรรมดา


ศ.กิตติคุณ นพ.เสก กล่าวว่า การดื่มนมสดไฮแคลเซียมขณะท้องว่าง ร่างกายจะไม่ดูดซึมผงที่ผสมอยู่ในนมได้ เนื่องจากไม่มีน้ำกรดช่วยในการดูดซึม แต่ถ้าดื่มนมไฮแคลเซียมพร้อมกับรับประทานอาหาร น้ำกรดที่หลั่งออกมาจะถูกน้ำนมซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง ลดความเป็นกรดลง ทำให้กระบวนการย่อยดูดซึมแคลเซียมผงที่เติมลงไปในนมสามารถละลาย และแตกตัวเป็นแคลเซียมอิสระได้ ฉะนั้นการดื่มนมไฮแคลเซียมจึงไวเสริมร้างร่างกายให้รับแคลเซียมเพิ่มขึ้น และยังเป็นการเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ฉะนั้นการดื่มนมกับกรรับประทานแคลเซียมเสริมจะต้องรับประทานแยกกันคนละมื้อ ไม่ควรอยู่ในมื้อเดียวกันเด็ดขาด


สำหรับเด็กควรได้รับแคลเซียมประมาณ 600 มก.ต่อวัน วัยรุ่นประมาณ 1,000-1,500 มก.ต่อวัน ผู้ใหญ่ประมาณ 800-1,000 มก.ต่อวัน หญิงตั้งครรภ์ต้องการประมาณ 1,500 มก.ต่อวัน และผู้สูงอายุในวัยทองต้องการปริมาณแคลเซียมมากที่สุด เฉลี่ยประมาณ 1,5000-2,000 มก.ต่อวัน ดังนั้นการสะสมแคลเซียมควรเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก ทำได้โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ข้าว ถั่ว ผักผลไม้ และดื่มนมวันละประมาณ 2 แก้วๆละ 250 มล. ซึ่งร่างกายจะได้รับแคลเซียมประมาณ 500-600 มก.จะชวยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง แหล่งข่าว : หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย

สุนทรพจน์ภาษาเกาหลี เรื่อง กะเหรี่ยง




까리양 산족 (카렌족) : 국적이 없는 민족 (국적이 존재하지 않는 민족)

안녕하십니까? [자기소개 후]
이 땅에 사는 모든 인류는 누구나 출생과 동시에 법적으로 한 나라의 고유한 국적과 시민권을 가진 한 나라의 국민으로서 누릴 수 있는 권리를 인정받기를 기대합니다.
반면에, 우리 나라에 거주하고 있는 한 민족 집단이 있습니다. 그들은 미얀마와 태국의 국경지역에 거주하고, 태국어를 말할 수 없는 그들 민족의 내재적 요인으로 인하여 다른 일반 태국인처럼 공식적으로 태국 국적을 가진 자로서 인정을 받지 못합니다.


우리는 그들을 가리켜 “산족” 이라고 부릅니다. 태국에 아카, 몸, 라후, 리수, 미얀 그리고 까리양 등 여섯 부족이 있는데, 특히 까리양 산족은 태국인들에게 매우 친숙하며 잘 알려진 유명한 산족입니다.
이 산족은 미얀마의 강줄기를 시작으로 그 주변에 아주 오래 전부터 정착하여 살아온 부족입니다. 중국과 티벳 민족으로부터 영향을 받은 자신만의 고유한 언어를 사용하며 그 안에서도 다양한 집단으로 구성되어 함께 살아갑니다.


태국에 거주하는 까리양 산족은 약 36만명 정도이며, 그들은 관광객들에게 기념품이라던가 수작업으로 만든 섬유제품을 판매하기도 하지만, 대부분 생계를 유지해 나가기 위해 농업이나 축산업에 종사합니다. 이러한 생활 양식은 그들로 하여금 이 강 주위에서 오랫동안 정착하며 살게 하였는데, 바로 이 점은 태국 내에서 아주 유용하게 사용되고 있는 국왕의 “밭 순환” 이론과 조화됩니다.


까리양 산족은 모계사회로 주로 여자가 육아와 가사 외에도 거의 대부분의 일을 도맡아 합니다. 이들 산족의 독특한 문화 중에서 여자의 경우, 7살부터 목에 금속 고리를 걸기 시작하여 계속해서 목에 고리개수를 늘려가는 전통이 있습니다. 목이 긴 여인이 이들 부족 사이에서 미인으로 인정받기 때문인데요. 오래 전부터 밀림 지역에 살아왔던 까리양 산족이 호랑이를 비롯한 맹수들의 습격을 많이 받았다고 합니다. 이 맹수들이 목부터 공격하는데 그것을 방지하기 위하여 목에 링을 걸었다고 합니다.


이 외에도 까리양 산족은 고대 태국의 빛나는 문화를 반영하는 거울로도 여겨집니다. 그들 거주지역에 있는 여러 유물과 유적들이 잘 알려주다시피 이 산족은 그 오랜세월동안 신비에 싸여진 그들의 신성한 문화를 잘 보존하여 오늘날까지 잘 유지해 왔습니다. 또 까리양 산족은 일부일처제의 가족제도를 가지고 있어 그 어떠한 이유로든 결혼하기 전에 동거하거나 결혼 후에 이혼하는 일이 결코 없습니다.


이러한 점은 태국 사회에서 국민들 전체가 크게 본받아야 할 부분이라고 보며 태국 사회 역시 사회의 평화와 행복을 도모하는 그들의 문화를 높게 평가하고 있습니다.
어떤 이들은 태국에서 이들 산족을 관광 상품화 하는 것 아니냐는 지적을 하곤 합니다. 하지만 태국사회는 오래 전부터 그들을 아끼는 마음을 가지고 있으며, 태국 사람과 같은 동포로 여깁니다. 이처럼 태국인들과 까리양 산족 이들 서로 간에 살아가는 생활방식이 얼마나 다르던지 간에 우리 모두는 하나로 연합되어 있습니다. 우리 모두 한마음으로 태국 국왕을 사랑하기 때문입니다.

감사합니다.



– 승리 –

5 อย่า! เมื่อคุณจะนอน


1.อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ
เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย


2.อย่าคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับ
รวมถึงอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ไกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า
พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง


3.อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง
ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น
จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ


4.อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า


ข้อสุดท้าย..อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น
เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย . . . (อันนี้ขำๆ ค่ะ แต่ถ้าแฟนเขารู้คุณๆ อาจขำไม่ออกนะจ๊ะ)


ที่มา : Teenee.com

ระวังปอดบวมหน้าหนาว


ปอดบวมเป็นหนึ่งในโรคระบบทางเดินหายใจที่พบมากในช่วงหน้าฝน แต่ใครหลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงโรคธรรมดาโรคหนึ่งที่อยู่กับเรานาน แต่อันที่จริงแล้ว ปอดบวมถือเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยในช่วงฤดูฝนไปเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ประธานชมรมโรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติในเด็กแห่งประเทศไทย บอกว่า สภาพอากาศชื้นและเย็น จะช่วยเอื้ออำนวยให้เชื้อโรคต่างๆ มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น ที่สำคัญยังพบว่า โรคปอดบวมเป็นโรคที่คอยผสมโรง และฉวยโอกาสจากผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ เยื่อบุโพรงจมูกและลำคอ จะระคายเคืองและถูกทำลาย ทำให้เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว หลุดลงไปที่ปอด และอวัยวะสำคัญอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลให้อาการต่างๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า จนอาจจะทำให้เสียชีวิตได้สาเหตุของโรคปอดบวม
เกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญเพราะนอกจากจะก่อให้ เกิดปอดบวมรุนแรงยังสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่สำคัญและก่อให้เกิดโรคติดเชื้อรุนแรงได้ เช่นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือดและหูอักเสบ เป็นต้นผู้ที่มีโอกาส เสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปอดบวม ได้แก่ เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ แม้ว่าจะเป็นเด็กที่มีสุขภาพดีก็ตาม และผู้สูงอายุ ทั้งนี้จะยิ่งเสี่ยงสูงขึ้น หากเป็นผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคปอด โรคเบาหวาน และโรคเลือดซิกเคิลเซลล์ และในกลุ่มเด็กที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ที่ตัดม้ามออก หรือม้ามทำงานไม่ปกติ ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นในเด็กเล็กซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปอดบวมนั้น พ่อแม่ควรเฝ้าระวังและป้องกันอย่างใกล้ชิด ด้วยการดูแลสุขภาพของลูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กเล็กยังไม่สามารถบอกกล่าวอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตนเอง และบางครั้งมีโอกาสมีปอดบวมแทรกซ้อนได้ อาการสำคัญคือ มีไข้ ไอมาก หายใจเร็วกว่าปกติ หอบหรือหายใจลำบากจนซี่โครงบุ๋ม ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกอาจเป็นปอดบวม ควรรีบพาไปพบแพทย์
การป้องกันคือ
ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ล้างมือบ่อยๆ ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งที่ไอจาม และที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารก เช่น เด็กเล็กควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้มีภูมิต้านทานจากแม่ส่งผ่านไปลูกทางน้ำนม และการให้วัคซีน ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ หลายชนิด รวมถึงวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม-โรคไอพีดีและวัคซีนไข้หวัดใหญ่
ที่มา TeeNee.com

ความพยายามของแม่กบ

เมื่อเข้าหน้าแล้ง อากาศร้อน แดดแรง น้ำตามห้วยหนองคลองบึงต่างระเหยหายจนแห้งขอด ดินเริ่มแตกระแหงเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง
สัตว์บกสัตว์น้ำพากันเดือดร้อน สัตว์ใหญ่เช่นช้าง ต่างพาลูกโขลงออกแสวงหาแหล่งน้ำเพื่อดื่มกินประทังชีวิต ขณะที่แม่กบกระโดดหนี เพื่อจะได้รอดพ้นจากการถูกเท้าช้างเหยียบ ทิ้งลูกอ๊อดฝูงใหญ่ ต่อสู้กับโชคชะตาในบึงน้ำที่เริ่มแห้งขอดลงทุกที..
จนเมื่อปลอดภัย แม่กบก็พบว่า น้ำในบึงถูกแยกเป็นสองส่วน แล้วลูกอ๊อดของเธอกำลังดิ้นรน แสวงหาแหล่งน้ำที่จะได้แหวกว่ายอาศัยมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป เธอจึงใช้สมองอันมีอยู่น้อยนิดของเธอ+ความรักอันยิ่งใหญ่มากท้นสุดประมาณของความเป็นแม่ ทุก ๆ คนต่างก็ใช้สองขาหลังของเธอขูดคุ้ยตะกุยดินด้วยความพากเพียรพยายามอย่างไม่ลดละเอาใจช่วยเธอ ผลที่สุดความพยายามของเธอก็สำฤทธิ์ผล เมื่อกำแพงดินนั้นทะลายลง สองบึงน้ำก็ไหลบรรจบกัน ลูกอ๊อดของเธอต่างแหวกว่ายพาตัวเองไปสู่บึงน้ำแอ่งใหม่อย่างปลอดภัย ครอบครัวของแม่กบจึงได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

สุนทรพจน์ภาษาเกาหลี เรื่องในหลวงกับการศึกษาไทย


태국의 국왕과 교육

- 노래 - 가 끝난 후,
안녕하십니까, 여러분 저는 마하싸라캄대학교 한국어과 3학년 어라판 상완남이라고 합니다. 방금전에 제가 부른 노래는 태국의 4번째 왕비께서 손수 작곡하신 “새벽녘”이라는 노래로서, 태국 왕가의 탁월한 재능을 알리고 싶어 이 노래를 불렀습니다.

저는 “쏭 프라짜른” 즉 한국어로 “국왕 만세! 만수무강하소서!”라는 이 유명한 문장과 동시에 태어났습니다. 그래서 저는 어려서부터 부모님과 어르신들이 왜 이토록 한 분에 대한 존경과 사랑이 깊은지에 대한 의문이 생겼습니다. 그리고 저는 초등학교에 입학하면서 그분을 알게 되었는데, 바로 이 땅의 주인이신 태국 푸미폰 국왕이십니다.


제가 한국의 세종대왕의 업적 중에서 개인적으로 감명깊었던 점은 백성들이 글자를 몰라 자꾸만 억울한 일을 당하게 되는 일이 많아지자 세종대왕은 백성들이 손쉽게 배우고 사용할 수 있는 고유의 문자를 만들기로 결심하고 여러 집현전 학자들의 거센 반대에도 불구하고 훈민정음을 갈고 닦아 마침내 훈민정음을 반포한 것입니다. 그래서 현재 저도 이 한국어를 수학할 수 있게 되었고, 대한민국 사람이라면 세계적으로도 우수성을 인정받은 한글을 창시한 세종대왕에 대해 깊이 감사하는 마음이 있을 것입니다.


태국의 푸미폰 국왕께서도 국가의 학문과 교육의 중요성에 항상 주목하셨습니다. 어려서부터 오랜 기간 외국에서 유학을 하시고 태국에 돌아오셨기 때문에 태국 국민들에게 “교육이 계속적인 국가의 발전을 이루는 가장 중요한 기초이며, 따라서 영원히 지식을 쌓고 배워나가야 한다. 교육만이 세계의 평화를 가져오며, 이것은 단지 태국만의 이야기가 아니다. 세계 전체가 교육을 통해 국가 서로 간에 유익을 얻는다”라고 거듭거듭 강조하셨습니다.


교육 발전과 관련하여 푸미폰 국왕께서 처음에 하신 일은, 태국의 일반 도시지역과 멀리 동떨어져 있는 지역을 지원하고자 아홉 곳의 지역에 학교를 설립하신 일입니다. 또한 가난한 어린이들이 학비를 내지 않고 무료로 공부할 수 있도록 절에도 학교를 설립하였고, 무엇보다 지식 외에도 덕과 선행을 두루 갖출 수 있게 하는, 불교와 교육이 어우러진 교육 방향을 제시하셨습니다.

국왕께서는 자신의 많은 재산을 장학금 제도와 교육에 투자하셨는데, 특히 교육기술의 발전에도 큰 기여를 하셨습니다. 라디오 전파 방송 외에도 위성통신을 사용한 위성 교육을 이끄셨고, 이러한 교육 기술로 인해 형성되는 여러 유익한 학술 기관 등을 설립하셨습니다. 국왕께서 이끄신 태국 교육발전 계획들을 살펴 보면, 학교설립, 장학금제도, IT발전계획 등등이 있습니다. 이 발전계획이 시행되면서, 외국이나 세계적으로 유명한 대회에서 상을 받는 태국인 학생들이 눈에 띄게 증가하였습니다. 이는 태국의 교육이 과거와 달리 세계에서 인정받을 수 있는 정도의 수준으로 많이 성장하였음을 보여주는 것입니다.


제가 특히 태국교육과 국왕에 대해서 깊이 감동한 점은 국민모두가 불교와 어우러진 지식교육을 받을 수 있도록 방향을 제시한 점 그리고 교육여건이 안 좋은 농촌지역이나 절 등에 학교를 설립한 점입니다. 현 시대에는 똑똑하고 능력이 뛰어나지만, 도덕성을 갖추지 못한 이기적인 사람들이 아주 많습니다. 이런 사람들은 그들이 얼마나 능력을 갖추었던지 간에 국가 발전에 결코 기여할 수 없습니다.


저에게 자주 조언을 주시는 교수님께서는 항상 저에게 자주 반복하여 이런 말씀을 하십니다. “사람이 잘하기만 하면 안 된다. 사람으로서 미덕과 도덕성을 갖추어야 하고, 사회를 위해 희생할 줄 아는, 무언가를 줄 수 있는 사람이 되어야 한다. 그런 사람이 훌륭한 사람이다”라고 말씀하십니다.


이 외에도 푸미폰 국왕님의 담화 중에 저에게는 잊지 못할 명언이 있습니다. 그것은 “벽돌이 건물의 기초인 것처럼, 인생의 기초는 교육이다”라는 명언입니다. 저 역시도 태국국왕님께서 제시해오신 교육방향과 일치하게, 열심히 공부하여 우수한 인재가 되겠으며, 제 능력과 최선을 다해서 태국 사회에 보답하는 사람이 되고자 노력할 것입니다.
감사합니다.


– 미소 -

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553


หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง แฟนเก่า ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ล่าสุด บริษัทฟิล์ม อาร์ อัส จำกัด ได้ฤกษ์งามยามดีทำพิธีบวงสรวงภาพยนตร์เรื่องล่าสุด แฟนใหม่ ภาพยนตร์ต่อเนื่องทางอารมณ์ แนวตื่นเต้นเขย่าขวัญ นำทีมโดยผู้บริหารไฟแรง


“โด่ง-องอาจ สิงห์ลำพอง” และ 2 ผู้กำกับฝีมือดี ต้อม-ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์,อังเคิล-อดิเรก พร้อมด้วยนักแสดงนำ บิ๊ก-ทองภูมิ สิริพิพัฒน์,ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ,โบวี่-อัฐมา ชีวินิชพันธ์”ณ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ลาดพร้าว 15

ส่งต่ออารมณ์รักสุดสยองจากแฟนเก่า เป็น2 เท่า เมื่อผู้ชายคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองร้ายเเล้ว กลับกลายต้องเป็นแค่เครื่องเล่นของผู้หญิงบางคนที่ร้ายยิ่งกว่า เตรียมพบกับเเรงปรารถนาและเเรงอาฆาตพยาบาท ของคนและผี ที่ตื่นเต้นระทึกขวัญหักมุมยิ่งกว่าเดิมใน แฟนใหม่


กับดัก สาวๆในการช๊อป


เดี๋ยวนี้สาว ๆ นิยมช้อปปิ้งกันในซูเปอร์มาร์เกต หรือดิสเคาน์สโตร์กันมากขึ้น เพราะคิดว่าประหยัดตังค์ได้มากกว่า ถ้าซื้อของทีละเยอะ ๆ ไปทีเดียว แต่ทั้งนี้สาว ๆ อาจจะเอนจอยช้อปปิ้งกันจนไม่ทันเห็นว่า มีกับดักที่จะทำให้คุณจ่ายเพิ่มมากขึ้น กว่าที่จำเป็นแฝงอยู่ในการช้อปปิ้งแต่ละครั้งด้วย
กับดักที่ 1 : ประตูทางเข้า ส่วนใหญ่บริเวณทางเข้าซูเปอร์มาร์เกต หรือห้างดิสเคาน์สโตร์มักจะวางสินค้าประเภทสบาย ๆ ผ่อนคลายอารมณ์ไว้บริเวณทางเข้า เช่น ภาพยนตร์ ดีวีดี โซดา น้ำอัดลม หรือไม่ก็เป็นสินค้าใหม่เอี่ยม แต่สาว ๆ อย่าเพิ่งเคลิบเคลิ้มง่าย ๆ เพราะสินค้าเหล่านี้จะทำให้จิตใจของผู้ซื้อหวั่นไหว และไขว้เขวได้ง่าย เมื่อคุณแค่ย่างก้าวเข้ามาแป๊บเดียว จนอาจลืมรายการสินค้าที่คุณจดไว้เตรียมจะซื้อไปหมด
กับดักที่ 2 : กระบะผลไม้หน้าทางเข้า บูธผักผลไม้ที่ชอบวางไว้หน้าทางเข้าออก จากงานวิจัยพบว่า วิธีนี้จะดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อได้ดี เพราะผู้ซื้อจะเกิดความรู้สึกว่า ฉันได้เลือกซื้อสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของฉัน เมื่อซื้อกระหน่ำกับผักผลไม้ตั้งแต่ต้น พอคุณเดินลึกเข้ามาอีกหน่อย เห็นสินค้าอื่นทีนี้ก็เป็นอันจ่ายไม่ยั้ง เพราะเกิดอาการตามใจตัวเองขึ้นแล้ว ผักผลไม้ควรซื้อตอนหลังสุด เพราะจะได้ไม่โดนกระแทกตอนอยู่ในรถเข็น
กับดักที่ 3 : ตัวอย่างสินค้าเชิญชิม ถึงแม้คุณจะไม่ได้หิวก็ตาม แต่อาหารตัวอย่างแค่เสี้ยวที่คุณลองชิมจากบูธสินค้าอาหารนั้น จะทำให้ร่างกายของคุณเกิดปฏิกิริยาอยากอาหารขึ้นมากะทันหัน วิธีแก้ก็คือ คุณอาจจะถืออาหารที่พนักงานแจกให้ชิมฟรีนั้น ไปจนกระทั่งคุณซื้อของอื่น ๆ เสร็จแล้ว
ลองนำเคล็ดลับนี้ไปใช้ดูนะคะ จะได้ประหยัดตังค์ให้กระเป๋าไปโดยปริยาย

10 วิธี ทะเลาะกับคนรัก อย่างสร้างสรรค์


10 วิธี ทะเลาะกับคนรัก อย่างสร้างสรรค์


การใช้ ชีวิตคู่ ก็ต้องมีการทะเลาะกันบ้าง วันนี้เรามี 10 วิธี การ ทะเลาะกับคนรักอย่างสร้างสรรค์ จะได้ช่วยให้การทะเลาะไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่าง คู่รักมาบอก...

1. ทะเลาะทีละเรื่อง อย่าขุดเอาความไม่พอใจเก่า ๆ ขึ้นมาพูดในทีเดียว เพราะแทนที่จะได้ข้อสรุปของหัวข้อที่ถกเถียงกันตั้งแต่แรก จะกลายเป็นการระเบิดสงครามอารมณ์ใส่กัน

2. อย่าจับผิดรายละเอียดเล็กน้อย อย่าเถียงกันว่าเขาลืมไปรับของสำคัญของคุณ วันจันทร์หรือวันอังคาร ประเด็นคือ เขาลืมของสำคัญของคุณ ไม่ใช่ วันไหนที่เขาลืม

3. เริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า ฉัน พูดว่า ฉันไม่พอใจเวลาคุณทำแบบนั้น แทนที่จะพูดว่า "คุณทำให้ฉันไม่พอใจเวลาทำแบบนั้น" การขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า คุณ จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกกล่าวโทษ ขณะการขึ้นต้นด้วยคำว่า ฉัน คือการบอกกล่าวความรู้สึกของคุณ

4. อย่าพูดว่า "ไม่เคย" "เสมอ" "ควร" และ "ไม่ควร" เพราะเป็นคำที่ฟังดูแข็งกระด้าง และมีแนวโน้มจะทำให้ผู้ฟังไม่พอใจได้ง่าย และเอาเข้าจริงมันก็ไม่ถูกเสมอไป

5. ใช้เหตุผลและความคิดเห็นที่เป็นของคุณ อย่าพยายามชักแม่น้ำทั้ง 5 ด้วยการเอาความคิดเห็นของคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พึงระลึกไว้เสมอว่า นี่เป็นเรื่องของคุณสองคนเท่านั้น

6. พยายามอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย และอย่าลืมหยุดพักหายใจ การนั่งลงและอยู่ในอิริยาบถสบาย ๆ จะช่วยให้คุณสงบจิตสงบใจได้ดีกว่าการเดินพล่านไปทั่วห้อง7. อย่าพูดคำหยาบคาย หรือด่าทอ การต่อว่าว่าเขาแสนจะขี้เกียจ อ้วนพุงพลุ้ย หรือคิดมากไม่เข้าเรื่อง ไม่เคยช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลย

8. พยายามสังเกตความรู้สึกของตัวเอง และบอกให้เขารับรู้ การบอกว่า "ฉันกลัวว่าคุณจะไม่รักฉัน" จะช่วยให้เขาเข้าใจคุณมากกว่าการพูดว่า " คุณทำตัวเหมือนไม่รักฉันเลย"

9. อย่าขัดคอ อย่าเถียงขึ้นมา ขณะอีกฝ่ายกำลังอธิบาย หรือเอาแต่พูดพล่ามยืดยาวอยู่ฝ่ายเดียว หรือไม่พูดอะไรเลยและหวังว่าจะให้เขาอ่านใจคุณออก

10. ขอเวลานอก หากคุณหรือใครคนใดคนหนึ่ง เริ่มรู้สึกรุนแรงจนอาจควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ควรหยุดการถกเถียงและแยกย้ายไปสงบจิตสงบใจสักพัก จนอารมณ์เย็นลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วจึงค่อยมาปรับความเข้าใจกันใหม่


ที่มา : Zazana

7 ปัจจัยที่ช่วยให้บุคลิกภาพดี


7 ปัจจัยที่ช่วยให้บุคลิกภาพดี
บุคลิกภาพเป็นเรื่อง ของภาพรวมที่ตัวเราแสดงออกไป ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยมีคนอื่นมองอยู่หรือรู้สึกกับสิ่งที่เราแสดงออก ดังนั้น จึงต้องมีการระมัดระวังและตกแต่งเสริมเติมให้บุคลิกภาพของเรายิ่งน่ามอง และเป็นที่ประทับใจของคนรอบตัวมี 7 ข้อที่ดิฉันอยากเตือนให้ดูแล ใส่ใจ และนำไปเป็นองค์ประกอบของการสร้างสรรค์หรือตกแต่งบุคลิกภาพให้ไฉไลยิ่งกว่า เดิม คือ
1. การมอง ทราบไหมคะว่า สายตาสามารถบอกถึงความรัก ความเกลียดชัง ความเมตตาปรานี ความโกรธแค้น ความเคารพนับถือ หรือความเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนได้ ฉะนั้น เมื่อเราจะมองใคร เราจะต้องพยายามใช้สายตาด้วยความสุภาพเรียบร้อย ระวังในการใช้สายตาอย่าให้คนอื่นเกิดความเข้าใจผิดหรือรู้สึกติดลบได้
2. การแต่งกาย การแต่งกายบ่งบอกความพิถีพิถันและเอาใจใส่ตัวเอง ช่วยทำให้คนคนหนึ่งดูดีหรือดูแย่ได้ ทุกครั้งที่เลือกเครื่องแต่งกายหรือ กำลังจะแต่งกาย ให้ต้องคำนึงถึงความสะอาดเรียบร้อย ถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ แต่งกายให้พอดี อย่าให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนกลายเป็นน่าเกลียด
3. การพูด ต้องมีศิลปะในการพูด พูดให้ชนะใจผู้ฟัง โดยจะต้องใช้คำพูดที่มีเหตุผล สุภาพ ไพเราะ มีน้ำเสียงชวนฟัง เสียงดังฟังชัด ฉะฉาน และใช้คำพูดที่เหมาะสมกับผู้ฟัง โดยคำนึงถึงวัย เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และความสนใจพิเศษของผู้ฟัง ทั้งยังต้องคำนึงถึงสถานที่ เวลา และโอกาสด้วย
4. การเดิน ให้เดินตัวตรง อกผายไหล่ผึ่งเพื่อให้ดูสง่า แต่ไม่ต้องถึงกับหลังตรงตัวแข็งเหมือนนักเรียน นายร้อย เดินให้มีท่าทางสง่าและเรียบร้อย เวลาเดินให้ก้าวเท้ายาวพอประมาณ และสอดคล้องกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่ ว่าก้าแค่ไหนจึงดูคล่องแคล่วและปลอดภัย ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังจนเกินไป เพราะเสียงฝีเท้าจะไปรบกวนผู้อื่น ไม่เดินผ่ากลางผู้อื่นที่ยืนสนทนากันอยู่
5. การแสดงท่าทาง ต้องระวังท่าทางที่ไม่สวยงาม เวลาพูดหรือทำอะไรก็ตาม อย่ามีการแสดงท่าประกอบมากเกินไปจนน่าเกลียด หรือแสดงท่าที่ไม่สุภาพ ท่าทางที่ดีจะต้องมาจากพื้นฐานของความสงบ สำรวม ให้เกียรติทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ควรมีท่าทางประกอบเพื่อให้ดูผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติ สง่า และเสริมในสิ่งที่พูดหรือเล่า นอกเหนือจากนั้นอาจไม่จำเป็นต้องมีท่าทาง ประกอบแต่อย่างใด
6. ทักษะในการทำงานในการทำงานใดๆ ก็ตามจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ต้องทำด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ด้วยความชำนาญ และให้ได้ผลงานดีเด่น ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ อย่าให้น้อยไปกว่าความสามารถที่เรามีหรือทำ ได้ ความน่าชื่นใจของผู้ร่วมงานหรือหัวหน้างานทุกคนก็คือ การมีเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องที่ทำงาน “เต็มความสามารถ” อยู่ตลอดเวลา นั่นคือบุคลิกแห่งความสำเร็จด้วยค่ะ
7. สุขภาพ ต้องระวังสุขภาพให้ดี อย่าให้มีโรค ระวังรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ผู้ที่ป่วยออดๆ แอดๆ จะดูเป็นคนขี้โรค ซึ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าน่าชื่นชม ดูอ่อนแอ ไม่คล่องแคล่ว โรคบางรคส่งผลถึงความซีดเซียว ห่อเหี่ยว หม่นหมอง จึงขาดสง่าราศี การดูแลสุขภาพให้ดีคือต้นทุนของการพัฒนาบุคลิกภาพที่สำคัญ ที่สุดสุขภาพนั้น ยังหมายรวมถึงรูปร่างและทรวดทรงด้วย อยากแต่งกายได้สวย หล่อ มีสง่า สะดุดตา ก็ต้องมีรูปร่างที่ดีเป็นพื้นฐานอยู่ก่อน เสื้อผ้าที่มีรสนิยม เข้ากับสีผิว กาลเทศะ และฐานภาพของผู้สวมใส่ จะยิ่งขับเน้นให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นบุคลิกภาพที่ดีสร้างเสริมกันได้ ค่ะ ไม่มีใครดูดีมาแต่อ้อนแต่ออก มาพัฒนากันทีละเล็กทีละน้อยในภายหลังทั้ง นั้น แต่ต้องทำอย่างเป็นธรรมชาติ นั่นแหละค่ะ คือความดูดีที่แท้จริง
ที่มา : Kapook